ข่าวสารและบทความ Thunder

อัปเดตทุกความเคลื่อนไหวจากเรา ทั้งข่าวสาร กิจกรรม และบทความน่ารู้ที่คุณไม่ควรพลาด

ข่าวสารและบทความ

รวมเรื่องที่ต้องรู้และข้อควรระวังสำหรับ Startup มือใหม่

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากรู้ความเป็นมาของคำว่า startup ไปจนถึงแนวทางในการเริ่มต้นทำธุรกิจ และรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคำยอดฮิตดังกล่าวที่ไม่ว่าใครก็เคยได้ยินในปัจจุบัน เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจในเรื่องของstartup

ในโลกที่อะไรๆ ก็มุ่งไปสู่ความเป็น digital จนทำให้หลายคนมีไอเดีย อยากทำธุรกิจstartup ที่ต่างออกไปจากธุรกิจแบบเดิม ซึ่งก็มีคำถามตามมาว่า “startup” คือคำที่ถูกพูดถึงในหมู่คนรุ่นใหม่รวมถึงบรรดานักธุรกิจนั้น แท้จริงแล้วคำว่า Startup คืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร ทำไมคำนี้ถึงเป็นคำยอดฮิตในหมู่ของธุรกิจ หากคุณยังไม่รู้ และเป็นคนหนึ่งที่อยากรู้ความเป็นมาของคำว่า สา เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจในเรื่อง การทำสาร์ทอัพ ผ่านบทความนี้เอง

ทำความรู้จักกับธุรกิจ Startup

startup

startup คือ ผู้ประกอบธุรกิจที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่ และเน้นการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือความต้องการของตลาดโดยนำเสนอผลิตใหม่ๆ หรือกระบวนการให้บริการแบบใหม่ ที่เรียกว่าเป็น Innovation สตาร์ทอัพเหมือนเป็นบริษัทเล็กๆ ที่อาจมีเจ้าของคนเดียวหรือทำธุรกิจในรูปแบบ partnership ที่ถูกออกแบบให้เติบโตเร็วและสามารถลดหรือขยายขนาดได้ง่าย เรามักคุ้นเคยกับสตาร์ทอัพที่นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ใช้เทคโนโลยีเสียเป็นส่วนมาก นั่นเป็นเพราะสตาร์ทอัพส่วนใหญ่จะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด โดยเฉพาะใช้เทคโนโลยีในด้านต่างๆ เช่น internet, e-commerce, telecommunications หรือ robotics เพื่อทำให้สินค้าหรือบริการตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคใหม่มากขึ้น โดยกระบวนการจะเน้นการวิจัย การออกแบบ การทดลอง และการตรวจสอบยืนยันว่า innovation หรือสมมติฐานนั้นๆ สามารถใช้งานได้จริง

สตาร์ทอัพ ที่เกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน จะพบว่าส่วนใหญ่มุ่งเน้นการทำธุรกิจที่ตอบสนองความต้องการของตลาดด้วยการเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการใช้ชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อีคอมเมิร์ซ การสื่อสาร การแพทย์ และความบันเทิง ที่ได้เข้ามาอำนวยความสะดวกและสร้างพฤติกรรมใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค 

อยากทำธุรกิจ Startup ต้องเริ่มต้นอย่างไร?

1.จังหวะเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ (Timing)

ดังคำกล่าวที่ว่า “อยู่ถูกที่ ถูกเวลา” จากสถิติที่ผ่านมาพบว่า ปัจจัยหลักที่สตาร์ทอัพหลายแห่งจะประสบผลสำเร็จ นั้นคือจังหวะเวลา แม้ว่าคุณจะมีไอเดียที่ดีแต่การนำเสนอสิ่งนั้นในจังหวะที่ผู้บริโภคไม่พร้อมที่จะรับหรือ อาจจะยังตอบโจทย์ได้ไม่ตรงใจก็อาจจะไม่ได้รับผลตอบลัพธ์ที่ดี ลูกค้านั้นอาจทำให้ช่วงเปิดตัวของเราไม่เป็นกระแสหรือเป็นที่สนใจของลูกค้าได้ครับ แต่ถ้าคุณสามารถประเมินจังหวะและเวลาได้ดีก็มีโอกาสทำให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น

2.มองภาพใหญ่ วางแผนธุรกิจให้ชัดเจน (Business Model)

กล่าวคือ เราควรมองภาพใหญ่ มองการณ์ไกลและตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน และเริ่มคิดว่าธุรกิจสามารถต่อยอดเป็นอะไรได้บ้าง ควรมองหาโอกาสที่จะขยายเติบโตและดูฐานลูกค้าที่อาจจะต้องมีมากพอให้ธุรกิจไปต่อได้ ทางที่ดีการวางแผนธุรกิจควรชัดเจนและไม่ซับซ้อน

3.เข้าใจลูกค้าของคุณ (Customers)

จากที่กล่าวมาจากข้อข้างต้นสตาร์ทอัพ ต้องทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย ทางที่ดีหากธุรกิจสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าสะดวกขึ้นได้ โดยที่ไม่เข้าไปเปลี่ยนพฤติกรรมลูกค้ามากจนเกินไป ซึ่งปัญหาที่พบเจอทั่วไปคือสิ่งที่ Startup พัฒนาขึ้นมาไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า หรือ เปลี่ยนวิธีการทำงานขององค์กร ส่งผลให้ในที่สุดไม่สามารถขายได้

4.มีทีมที่ดี (Team)

ทุกคนที่อยู่ในองค์กรต้องมีแนวคิดที่เป็นไปในทางเดียวกันคือ ความสำเร็จของทีม คือความสำเร็จของธุรกิจ และความล้มเหลวของทีม ก็คือความล้มเหลวของธุรกิจด้วยเช่นกัน ซึ่งผู้ประกอบการมือใหม่จะจัดการเรื่องเหล่านี้ได้ไม่ดีนัก การให้สมาชิกในทีมเป็นหุ้นส่วน จึงเป็นหลักประกันที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้ทีมยอมร่วมหัวจมท้ายและโฟกัสกับธุรกิจ

5.ไอเดียธุรกิจ (Idea)

แน่นอนว่าการโฟกัส เลือกทำเฉพาะสิ่งที่จะส่งผลต่อความก้าวหน้าและจำเป็นกับธุรกิจมากที่สุด และทำมันออกมาให้ดี ย่อมดีกว่ามุ่งทำให้มันออกมาสมบูรณ์แบบเลยทีเดียวซึ่งเป็นไปได้ยากและใช้เวลานาน หลายครั้งการเพิ่มไอเดียธุรกิจมาเยอะจนเกินไป จะทำให้เกิดความสับสนว่าจริงๆแล้ว จุดประสงค์หลักของธุรกิจคืออะไร หรืออาจจะทำให้เราลงมือช้าจนเกินไปทำให้ Timing เราเสียได้ดังนั้น ให้ทำออกมาให้ดีและออกสู่ตลาดให้เร็ว เน้นการเรียนรู้จาก feedback นำไปปรับปรุงจะดีกว่า

โครงสร้างของธุรกิจ Startup

โครงสร้าง startup

โครงสร้างทางธุรกิจของ Startup อาจดูคล้ายกับธุรกิจทั่วไป แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้สตาร์ทอัพ แตกต่างจากธุรกิจทั่วไปและได้รับความสนใจในการลงทุนมากกว่าคือ ความสามารถในการสร้างความโดดเด่นทางธุรกิจ ซึ่งสามารถสะท้อนมาจากปัจจัยต่างๆเหล่านี้

Business model: ถือเป็นหัวใจสำคัญของ สตาร์อัพ แผนธุรกิจที่ควรค่าแก่การลงทุนจะต้องแสดงให้เห็นถึงจุดเด่นของสินค้าและบริการ วิธีการในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย รวมถึงกลยุทธ์ที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ และสร้างความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่งรายอื่น

Market: ธุรกิจจะประสบความสำเร็จได้ก็ด้วยการตอบรับของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ฉะนั้นยิ่งตลาดมีขนาดใหญ่มากขึ้นเท่าไหร่ มีการตอบรับที่ดีต่อสินค้าหรือบริการที่นำเสนอมากเพียงใด จะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการสร้างรายได้และผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น

Future plan: ธุรกิจควรจะแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดดในอนาคต ซึ่งอาจเป็นการคาดการณ์การขยายตลาดไปยังตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีแผนการบริหารการลงทุนและการเงินที่ชัดเจนเพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถประเมินผลตอบแทนที่จะได้รับจากการลงทุน

Management team: ทีมผู้บริหารเปรียบเสมือนหัวเรือในการนำธุรกิจไปในทิศทางที่ต้องการ ยิ่งผู้บริหารมีความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสินค้าและบริการ และเข้าใจตลาดมากเพียงใด ย่อมแสดงให้เห็นถึงแรงผลักดันที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้มากขึ้นเท่านั้น

ประเภทของธุรกิจ startup

1. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเกษตรและอาหาร (AgriTech & FoodTech)

Agritech การทำให้การเกษตรนั้นสะดวกรวดเร็วง่ายขึ้น ช่วยเหลือให้ชาวเกษตรกรนั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น บางบริษัทก็เริ่มการทดลองนำโดรน ในการบินเพื่อลดน้ำพืช ผัก หรือการใส่ปุ๋ย เพื่อลดการใช้แรงงาน นำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายมากขึ้น

2. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการศึกษา (EdTech & GovTech)

education tech

ธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับการศึกษา อีกหนึ่งกลุ่มประเภทธุรกิจที่ได้รับความนิยม เนื่องจากคนยุคใหม่หันมาสนใจในเรื่องของการศึกษาหาความรู้ในด้านต่าง ๆ เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเลือกคอร์สเรียนออนไลน์ต่าง ๆ ที่เหมาะกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทำให้กลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพเกี่ยวกับการศึกษานั้นเติบโตมากยิ่งขึ้น ทั้งรูปแบบการเรียนผ่านเว็บไซต์ การเรียนผ่าน แอปพลิเคชัน การเรียนผ่านสื่อออนไลน์อย่างช่องทาง Youtube และ Facebook ก็ได้รับความนิยมไม่น้อย

4. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านอสังหาริมทรัพย์ (PropertyTech)

Proptech Startup เกี่ยวกับอสังหริมทรัพย์ อาจจะเป็น application ที่นำเสนอหาห้องประชุมหรือการทำ co-working space ให้กับผู้กำลังมองหาสถานที่ในการทำงานแต่ไม่อยากจะเช่าออฟฟิศ

5. ธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวธุรกิจสตาร์ทอัพที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว และความบันเทิง 

ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสตาร์ทอัพในปีนี้ที่ได้รับความนิยมในปี 2023 อย่างแน่นอน สำหรับการท่องเที่ยวและความบันเทิง เนื่องจากเป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับหลายคน อีกทั้งรูปแบบของการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะมีแนวโน้มกลับมาตื่นตัวมากยิ่งขึ้น เช่น การจองตั๋วเครื่องบิน ที่พักโรงแรม ร้านอาหาร หรือจองบัตรเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ เป็นต้น 

Traveltech เป็นตัวช่วยให้กับนักเดินทางที่การท่องเที่ยวไปในประเทศต่างๆ เดินทางได้ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น อย่าง Airbnb ก็ถือเป็นตัวช่วยสำหรับนักเดินทางที่ต้องการไปพักผ่อนในย่านท่องเที่ยวแต่ด้วยงบที่จำกัด Airbnb ก็ค่อนข้างตอบโจทย์ที่นำบ้านพักที่ผู้ปล่อยเช่าในราคาไม่แพงมาให้นักท่องเที่ยวที่อาจจะมีงบไม่พอเพื่อเข้าพักได้

6. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเข้าถึงสินค้า (E-Commerce & Logistics)

ในปัจจุบันแนวโน้มการทำธุรกิจประเภท E-Commerce ในประเทศไทยกำลังได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น เพราะในยุคนี้ผู้คนสามารถเข้าถึงสมาร์ทโฟนและอินเทอร์เน็ต รวมถึงช่องทางออนไลน์ได้มากยิ่งขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายสินค้าออนไลน์ต่าง ๆ ที่ผู้ทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน หรือแหล่งที่ตั้งการสามารถเลือกขายสินค้าต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะมีความเติบโตมากยิ่งขึ้นอย่างมาก จากการขยายตัวของผู้ให้บริการหลากหลาย อาทิ Lazada Shopee เป็นต้น

7. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านการเงิน (FinTech) และด้านการให้บริการสำหรับธุรกิจ (Service Enhancement)

Fintech Startup ที่ว่าด้วยเหลือของการเงิน เข้ามาช่วยเหลือให้การทำธุรกิจเกี่ยวกับเงินของเรานั้นสะดวกขึ้น ถ้าดังๆเลยในปัจจุบันก็จะเป็น bitkub ที่ถือเป็นด้าน Fintech ที่นำ bitcoin เข้ามาในประเทศไทยและทำให้เป็นที่รู้จักเป็นอย่างมาก 

ตรวจสลิปผ่านไลน์

Service  Enchanment ก็เป็นอีกธุรกิจที่มีความสำคัญอย่างมากในโลกของธุรกิจ เนื่องจากบริการประเภทนี้จะเข้ามาช่วยตรวจสอบ ดูแลด้านการเงินเสมือนเป็นการ์ดดูแลหน้าบ้านคุณเลยที่เดียว อย่างบริการของ Thunder Solution ผู้ให้บริการ AI ตรวจสอบสลิปโอนเงินอัตโนมัติผ่านไลน์ ที่ช่วยตรวจสอบสลิปโอนเงินให้กับเหล่าพ่อค้าแม่ค้า ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ตลอดจนธุรกิจและบริการต่างๆ เพื่อไม่ให้เจอกับปัญหาของสลิปปลอม ในยุคที่มีมิจฉาชีพระบาดแบบนี้

8. ธุรกิจสตาร์ทอัพด้านสุขภาพ (HealthTech)

Healthtech นวัตกรรมที่ช่วยให้คนเข้าถึงการรักษาในง่ายขึ้นอย่างของเมืองไทยก็จะมีของประกันเจ้านึงที่มี application ที่สามารถให้เรานั้น นัดคุยกับแพทย์ผ่าน video call ได้เลย และสามารถสั่งยาผ่านช่องทางออนไลน์ได้ โดยที่ไม่ต้องเดินทางฝ่ารถติดไปหาหมอ เพื่อทำการวินิจฉัยโรค เพราะบางครั้งเราอาจจะเป็นเพียงเล็กน้อย และแน่นอนในตอนนี้ถือว่าเสี่ยงมากในการเดินทางเข้าไปยังโรงพยาบาล

ข้อควรระวังสำหรับการทำ Startup

การประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจไม่ได้เกิดเพียงชั่วข้ามคืน หากแต่ต้องอาศัยระยะเวลาในการทำงานหนัก รวมทั้งต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ที่เกิดระหว่างการทำธุรกิจไปให้ได้  และต่อไปนี้คือข้อควรระวังที่มักเกิดกับผู้ประกอบการมือใหม่ ซึ่งหากแก้ไขไม่ทันท่วงทีอาจทำให้ธุรกิจล้มได้ โดยที่เรานั้นได้รวบรวมข้อระวังต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้พร้อมวิธีการแก้ไขปัญหามาให้ โดยหลักๆแล้วข้อควรระวังสำหรับStartup มือใหม่ มีดังนี้

1.ไม่มีเงินสดสำรอง 

เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กปิดตัวลงภายในระยะเวลาไม่นานของการทำธุรกิจ เป็นเพราะขาดเงินสดสำรองไว้ใช้ยามฉุกเฉิน เพราะในช่วงแรกของการทำธุรกิจ ผู้ประกอบการมักสูญเงินไปกับการสนับสนุนธุรกิจเป็นส่วนใหญ่ 

การแก้ไขปัญหา : 

ควรตั้งกองทุนเงินสดสำรองไว้ใช้ยามที่ธุรกิจประสบเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ซึ่งเงินสดสำรองนี้จะช่วยต่ออายุของธุรกิจ และช่วยลดความกดดันในเรื่องสภาพคล่องของธุรกิจ

2.ใช้สมมุตฐานในแง่ดีเกินไประหว่างการวางแผนธุรกิจ 

มีผู้ประกอบการมือใหม่จำนวนไม่น้อยที่ตกอยู่ในกับดักนี้ เพราะต่างเชื่อความคิดของตนเอง เพื่อน และคนในครอบครัวว่าการทำธุรกิจเป็นเรื่องง่าย โดยหารู้ไหมว่า จริงๆ แล้วการทำธุรกิจนั้นต้องต่อสู้และแข่งขัน ซึ่งไม่ใช่เกมที่เล่นไปเรื่อยๆ ถ้าแพ้ก็เริ่มต้นเล่นใหม่

การแก้ไขปัญหา : 

ผู้ประกอบการควรเปิดโอกาสให้คนที่มีประสบการณ์ด้านการทำธุรกิจช่วยวิพากษ์วิจารณ์แผนและไอเดียในการทำธุรกิจที่วางไว้ เพื่อช่วยให้เห็นช่องโหว่ของธุรกิจและทำให้รู้ว่าควรอุดช่องโหว่เหล่านั้นอย่างไร

3.ทำทุกอย่างด้วยตนเองเพื่อประหยัดเงิน 

การประหยัดเงินด้วยการลงมือทำทุกอย่างเองนั้นจะทำให้เกิดความทุกข์มากกว่าความสุขในการทำธุรกิจ เพราะไม่มีใครที่เชี่ยวชาญไปหมดทุกเรื่อง อีกทั้งยังส่งผลให้ผู้ประกอบการไม่สามารถทำธุรกิจได้อย่างเต็มความสามารถ เพราะต้องวิ่งวุ่นทำสารพัดสิ่งเพียงคนเดียว

การแก้ไขปัญหา : 

ผู้ประกอบการควรลงมือทำอย่างเต็มที่ในสิ่งที่ตนถนัด และจ้างงานผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาช่วยงาน เช่น การพัฒนาเว็บไซต์ หรือการประชาสัมพันธ์ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

4.ตั้งราคาสินค้าต่ำหรือสูงเกินไป 

เพราะต้องการให้สินค้าเป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ผู้ประกอบการมือใหม่จึงตั้งราคาสินค้าต่ำไว้ก่อน จนทำให้สินค้าดูไม่มีคุณค่า และอีกกรณีที่ผู้ประกอบการต้องการให้สินค้าดูมีคุณค่ากว่าคู่แข่งก็เลือกตั้งราคาสูงไว้ก่อน จนบางครั้งราคาที่ตั้งนั้นอาจสูงจนไม่มีใครกล้าซื้อ

การแก้ไขปัญหา : 

ควรสำรวจราคาสินค้าของคู่แข่งว่าเป็นอย่างไร และสำรวจกำลังซื้อของผู้บริโภคว่ามีมากน้อยเพียงใด จากนั้นกำหนดราคาที่อยู่ในเกณฑ์ที่ลูกค้าสามารถซื้อได้และธุรกิจไม่ขาดทุน

สรุป

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า Startup นั้น ถือว่าเป็นการธุรกิจอีกประเภทนึง ที่ต้องอาศัยความมุ่งมั่นและตั้งใจเป็นอย่างมาก ส่วนใครที่สนใจอยากจะทำธุรกิจ ก็ลองดูว่าจากประเภทที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้นมีอะไรที่ตรงกับไอเดียของเราบ้าง และ สิ่งที่เราจะทำนั้นตอบโจทย์กับคนหมู่มากหรือไม่ หรือแค่เฉพาะเรา เพราะเราต้องคำนึงถึงการไปขอเงินจากนักลงทุนอีก แน่นอนนักลงทุนย่อมมองถึงความเสี่ยงและความคุ้มค่าของการลงทุน ถ้าตลาดเรามีกลุ่มลูกค้าไม่มากพอก็อาจจะไม่ได้รับความสนใจการลงทุนก็เป็นได้

วิธีเลือกซื้อแพ็กเกจเช็คสลิปโอนเงิน Thunder ให้เหมาะสมกับธุรกิจ

ใช้ ธันเดอร์ โซลูชั่น จะทำให้คุณไม่ต้องอยู่หน้าร้านเอง เพราะแอพธนาคารสแกนเสร็จแล้วจบเลย แต่หากใช้ธันเดอร์ช่วยเช็ก ข้อมูลการโอนนั้นจะถูกเก็บลงไปหลังบ้าน เพื่อให้คุณสามารถเช็คได้ย้อนหลัง และที่สำคัญหากร้านไหนผู้เข้าใช้บริการเยอะ ใช้แอพธนาคารเช็กแต่ละทีใช้เวลาระดับนึงเลยเพราะเช็คได้ทีละสลิป แต่ธันเดอร์เราเช็คได้หลายๆสลิปพร้อมกันธันเดอร์เองเลยเข้ามาช่วยลดเวลาการทำงาน ทั้งของพนักงาน ในการเช็คสลิป เดินบิล ทั้งของเจ้าของร้าน ที่ลดเวลาการทำบัญชีลงไปได้เยอะมากๆ

แต่เนื่องจากร้านค้ามีหลากหลายรูปแบบและขนาดของร้านค้า จำนวนลูกค้าเข้าร้านก็ไม่เท่ากัน หากใช้บริการของธันเดอร์ต้องเลือกแพ็กเกจแบบไหนดี ถึงจะคุ้มค่าที่สุด วันนี้เราเลยทำวิธีการเลือกซื้อแพ็กเกจของเรา มาให้ทุกท่านเอาไว้ใช้เลือกกันว่าจะใช้แพ็กเกจไหนดี เพราะบริการของธันเดอร์ มีหลายราคามาก ซื้อมากไปอาจจะใช้ไม่หมด ซื้อน้อยไปก็อาจจะใช้ไม่พอ เพื่อช่วยในการตัดสินใจและเลือกซื้อให้พอดีกับการใช้งาน นอกจะช่วยลดการทุจริตผ่านสลิปปลอมแล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้อีกด้วย

 แพ็กเกจ ตรวจสลิป Thunder Solution มีอะไรบ้าง?

เช็คสลิปกับ Thunder Solution เลือกแพ็กเกจแบบไหนดี สำหรับแพ็กเกจตรวจสอบสลลิปโอนเงินของ ธันเดอร์ นั้น มีหลากหลายแพ็กเกจให้เลือกใช้งาน ถือว่าเป็นผู้ให้บริการที่มีแพ็กเกจให้เลือกมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของของร้านค้าให้ได้มากที่สุด แล้วคุ้มค่าต่อการใช้งานมากที่สุด โดยมีตั้งแต่ราคาถูกที่สุด ไปจนถึงราคาแพงที่สุด ซึ่งแต่ละแพ็กเกจของ thunder มีดังนี้

Start

start

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Start คลิกที่นี่

Basic

basic

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Basic คลิกที่นี่

Starter

starter

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Starter คลิกที่นี่

Beginner

beginner

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Beginner คลิกที่นี่

Silver

silver

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Silver คลิกที่นี่

Gold

gold

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Gold คลิกที่นี่

Diamond

diamond

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Diamond คลิกที่นี่

Premium

สำหรับแพ็กเกจ ระดับ Premium ของ Thunder Solution นั้น มีให้เลือกเพิ่มเติมอีก 4 ระดับ โดยเพิ่มตามปริม่ณการตรวจสลิปต่อวัน สำหรับร้านขนาดใหญ่ที่มีหลายสาขาและได้รับสลิปต่อวันจำนวนมาก  โดยแบ่งดังนี้

Premium-1

premium-1

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Premium-1 คลิกที่นี่

Premium-2

premium-2

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Premium-2 คลิกที่นี่

Premium-3

premium-3

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Premium-3 คลิกที่นี่

Premium-4

premium-4

สนใจ: ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแพ็กเกจ Premium-4 คลิกที่นี่

ทำไมต้องเลือกใช้ตัวช่วยตรวจสอบสลิปโอนเงิน

1.ป้องกันการโกงได้ในระยะยาว

            ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาโกงคุณอีกต่อไป เพราะ Thunder Solution สามารถตรวจจับสลิปปลอมให้คุณได้แบบทันทีทันใด ตรวจปุ๊บเจอปั๊บ ไม่ต้องเสียเวลารอเลย แถมยังแม่นยำ 100% และบอกได้หมดว่า สลิปโอนเงินที่คุณมี คือสลิปปลอมที่ถูกสร้างขึ้น หรือเป็นสลิปที่ถูกนำกลับมาใช้ซ้ำ

            เมื่อทางร้านมีเครื่องตรวจเช็กสลิปปลอมในการเช็คสลิปโอนเงินที่สามารถจับทางมิจฉาชีพได้แบบเรียลไทม์ ก็จะเกิดเป็นชื่อเสียงในด้านความปลอดภัย ทำให้เหล่ามิจฉาชีพรู้ตัว และไม่กล้าเข้ามาโกง ต่างจากร้านค้าอื่นที่ไม่มีเครื่องมือรักษาความปลอดภัยตรงนี้ เหล่ามิจฉาชีพที่รู้ข้อมูล อาจจะเฮกันไปเพราะเห็นว่าทางร้านหลอกได้!

2. ลดเวลาเช็ก เพิ่มเวลาชัวน์

            ปกติแล้วเหล่าผู้ประกอบการมักจะใช้วิธีสร้างกลุ่มไลน์ของร้านขึ้นมา เพื่อให้พนักงานถ่ายรูปสลิปโอนเงินแล้วส่งเข้ามาในกลุ่ม จากนั้นเจ้าของร้านก็จะตรวจเช็กด้วยตัวเอง บ้างก็เช็คสลิปโอนเงินคร่าว ๆ ว่าหน้าตาสลิปโอนเงินมีอะไรผิดแปลกไปไหม? รอเช็กกับแจ้งเตือนของธนาคาร หรือไม่ก็สแกน QR code เช็กกันเดี๋ยวนั้นเลย

            แต่วิธีทั้งหมดนี้ล้วนแต่ใช้เวลาค่อนข้างเยอะ ทำให้เจ้าของร้านส่วนมาก ต้องเหนื่อยกับขั้นตอนการตรวจสลิป จนไม่มีแรงไปสร้างไอเดียใหม่ ๆ ให้ร้าน

บอท เช็คสลิปปลอมช่วยให้ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเวลาไปกับเรื่องยิบย่อย

            Thunder Solution ที่เป็นเครื่องมือตรวจเช็กสลิปปลอมโดยเฉพาะ จึงเป็นเสมือนผู้ช่วยคนใหม่ ที่จะทำงานแบบ 24 ชั่วโมงแทนคุณในด้านนี้ ทำให้ผู้ประกอบการทั้งหลายไม่ต้องเสียเวลาไปกับเรื่องจุกจิก และสามารถใช้เวลาไปกับการพัฒนาร้านได้อย่างเต็มที่

3. เซฟเงินได้มากขึ้น

            อย่ามองว่าสลิปปลอมเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นปัญหาเชียว! ไม่แน่ว่าสิ้นเดือนแวะมาเช็กรายรับจริง ๆ แล้ว กำไรอาจจะหายไปราว ๆ 10% ได้เลย การมีบอท เช็คสลิปปลอมตรวจสลิปปลอม จะช่วยลดความเสี่ยงในการโดนโกง รวมถึงช่วยรักษากำไรของธุรกิจได้ในระยะยาว เพราะนอกจากรายได้โดยตรงของทางร้านที่เสียไปแล้ว ยังมีเรื่องของเวลาและทรัพยากรอื่น ๆ ที่ทางร้านต้องใช้เพื่อป้องกันการโกง การมีบอท เช็คสลิปปลอมตรวจจับสลิปปลอม จึงช่วยปิดช่องโหว่ตรงนี้ได้ทั้งหมด เซฟได้ทั้งเงินและเวลาเลย

4. หมดห่วงกับปัญหาจุกจิก เปิดร้านได้อย่างสบายใจ

            อาจจะดูไม่ได้สำคัญมากมายนัก แต่เรากล้าการันตีว่า การใช้ Thunder Solution ตรวจเช็กสลิปโอนเงิน และสลิปปลอมต่าง ๆ จะมอบความสบายใจให้ผู้ประกอบการทุกท่านได้จริง ๆ เพราะเราอยากให้ผู้ประกอบการทุกท่านมีความสุขกับการบริหารร้าน โดยที่ไม่ต้องมานั่งระแวงกับปัญหาเรื่องเช็คสลิปโอนเงินปลอมอีกต่อไป เอาเป็นว่า โยนทุกอย่างให้ Thunder Solution จัดการให้ แล้วรอดูผลลัพธ์สวย ๆ ได้เลยจ้า!

5. เป็นมากกว่าบอทเช็คสลิป

นอกจากบอทเช็คสลิปของเราจะมีฟังก์ชันการตรวจสอบสลิปโอนเงินมาให้แล้ว เรายังมีระบบจัดดการหลังบ้านที่สามารถให้เจ้าของร้านค้าสามารถดูยอดธุรกกรมต่างๆ แถมยังมีระบบสรุปยอดรายจ่าย ทั้งรายวัน รายเดือน ให้กับเจ้าของกิจการอีกด้วย

เช็คสลิปกับ Thunder Solution เลือกแพ็กเกจแบบไหนดี

หากไม่รู้ว่าจะต้องเลือกซื้อแพ็กเกจตรวจสลิปโอนเงินแบบไหนดี เราคัดมาให้แล้วค่ะ ว่าแพ็กเกจแบบไหนที่เหมาะกับร้านของคุณ 

ร้านของคุณไซส์ไหน? ใครที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกแพ็กเกจไหนดี สามารถดูได้ที่จำนวนลูกค้าที่ใช้บริการของเราได้เลยครับ เพราะธันเดอร์โซลูชั่นของเรา คิดเป็นจำนวนสลิปโอนเงิน ซึ่งธันเดอร์ โซลูชั่นเอง ก็ครอบคลุมทุกจำนวน

สำหรับวิธีการเลือกซื้อแพ็กเกจตรวจสลิปสำหรับร้านค้าแต่ละร้านให้คุ้มค่าที่สุดนั้น ขนาดของร้านค้าก็มีผลด้วยเช่นกัน เพราะว่าร้านค้าบางร้านอาจมีหลายสาขา ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดคือการคือขายต่อวัน หรือปริมาณสลิปโอนเงินที่ได้รับต่อวันนั่นเอง โดยแต่ละแพ็กเกจของธันเดอร์นั้นจะครอบคลุมปริมาณการใช้งานการตรวจสลิปตามปริมาณสลิปโอนเงินที่ได้รับต่อวันของร้านค้า โดยเราแบ่งเป็นปริมาณสลิปที่ได้รับต่อวัน/ยอดขายต่อวัน ดังนี้

กลุ่มร้านเล็ก

สำหรับกลุ่มร้านค้าขนากเล็กที่ยอดการรับสลิปโอนเงินไม่สูงมาก กลุ่มพ่อค้าแม่ค้า ร้านอาหาร เครื่องดื่มขนาดเล็ก ที่ต้องการตัวช่วยมาช่วยตรวจสอบสลิปโอนเงินเพื่อให้ไม่พลาดท่าตกเป็นเหยื่อสลิปปลอม แถมยังช่วยเก็บยอดทำบัญชีจากยอดโอนรายวันให้อีกด้วย

แพ็กเกจตรวจสลิปที่แนะนำ อาจลองใช้เป็นแพ็กเกจเริ่มต้นที่ราคา 99-199 บาท ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม ของยอดการใช้งานของแต่ละแพ็กเกจ ให้เหมาะสมตามการใช้งานของร้านค้าได้ ซึ่งตัวแพ็กเกจสามารถเปลี่ยนแปลงภายหลังได้เสมอ 

แพ็กเกจแนะนำ:

  •  แพ็กเกจ Basic ราคา 199 บาท  สามารถตรวจสลิปได้ 1,000 สลิป หรือเฉลี่ยต่อวันสามารถตรวจได้ 20-30 สลิป นับว่าเป็นแพ็กเกจที่เหมาะสมที่สุด สำหรับร้านค้าเล็ก เพราะไม่ต้องกงวลเรื่องโควตาการตรวจสลิปไม่พอแน่นอน และหากยอดเหลือก็สามารถทบไปเดือนถัดไปได้

ร้านขนาดกลาง

เหมาะสำหรับร้านค้าขนาดกลางเช่นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านเหล้า ผับ ร้านอาหารสตรีทฟู๊ดอยู่ในแหล่งที่คนพลุกพล่าน ในห้าง หรือแม้แต่ร้าซูเปอร์มาเก็ต มินิมาร์ท ที่ไม่อยากพลาดเจอสลิปปลอม มีแพ็กเกจที่แนะนำดังนี้

แพ็กเกจแนะนำ:

  •  แพ็กเกจ Silver ราคา 799 บาท  สามารถตรวจสลิปได้ 6,000 สลิป หรือเฉลี่ยต่อวันสามารถตรวจได้ 180-200 สลิป นับว่าเป็นแพ็กเกจที่เหมาะสมที่สุด เอาชัวน์ทุกสลิป เพราะมีโควตาให้ตรวจสลิปเหลือแน่นอน และหากยอดเหลือก็สามารถทบไปเดือนถัดไปได้

ร้านค้าขายดี

ไม่ว่าจะเป็นร้านค้า ร้านอาหารหรือเครื่องดื่ม คลินิกเสริมความงาม หรือธุรกิจการบริการต่างๆที่ขายดีมาก แล้วมีร้านค้าอยู่หลายสาขา แต่ต้องการตัวช่วย ที่ตรวจทั้งสลิปและเก็บยอดได้ในเวลาเดียวกัน เช็คเอาชัวน์ทุกสลิปโอนเงินที่ถ่ายเข้ามา เราขอแนะนำเป็นแพ็กเกจนี้เลย

แพ็กเกจแนะนำ:

  •  แพ็กเกจ Dimond ราคา 2,499 บาท สามารถตรวจสลิปได้ 35,000 สลิป หรือเฉลี่ยต่อวันสามารถตรวจได้1,000-1,200 สลิป เช็กได้ชัวน์ทุกสลิป แถมยังไม่ต้องกังวงเรื่องโควต้าตรวจสลิปไม่พออีกด้วย และแน่นอนหากใช้ไม่หมด ยังทบไปเดือนหน้าได้อีก คุ้มกว่านี้ไม่มีแล้ว

ร้านค้าขนาดใหญ่

แพ็กเกจตรวจสลิปโอนเงิน สำหรับร้านค้าขนาดใหญ่ สาขาเยอะ ตรวจสลิปได้ถึงหลักแสนบิลขึ้นไป เราขอแนะนำให้ใช้แพ็กเกจสูงสุดอย่างแพ็กเกจ Premium ไปเลย เพราะร้านเยอะ ลูกค้าหน้าร้านก็แน่นอนว่าต้องมีมากตาม ตรวจได้ทุกยอดการโอน แถมยังมีระบบหลังบ้านคอยช่วยจัดการบัญชีอีก โดยแพ็กเกจ Premium ของ Thunder Solution นั้น จะมีเป็นแพ็กเกจย่อยอีก 4 แพ็กเกจ มีดังนี้

แพ็กเกจแนะนำ:

  •  แพ็กเกจ Premium-1 ราคา 3,000 บาท สามารถตรวจสลิปได้ 27,000 สลิปโดยคิดราคาต่อสลิปเพียง 0.111 บาท
  •  แพ็กเกจ Premium-2 ราคา 5,000 บาท สามารถตรวจสลิปได้ 50,000 สลิปโดยคิดราคาต่อสลิปเพียง 0.100 บาท
  •  แพ็กเกจ Premium-2 ราคา 10,000 บาท สามารถตรวจสลิปได้ 105,000 สลิป โดยคิดราคาต่อสลิปเพียง 0.095 บาท
  •  แพ็กเกจ Premium-4 ราคา 14,000 บาท สามารถตรวจสลิปได้ 150,000 สลิป โดยคิดราคาต่อสลิปเพียง 0.093 บาท 

ซึ่งจะเห็นว่าราคาเช็คสลิปโอนเงินต่อสลิปของแพ็คเกจ Platinum นั้นมีราคาที่ถูกมาก หากไม่อยากพลาดท่าให้กับสลิปปลอมล่ะก็ ลองให้ Thunder solution ช่วยเช็กสลิปเลย เช็กง่าย ได้ชัวน์แน่นอน สมัครสมาชิก

เช็คสลิปโอนเงินผ่านไลน์ กับธันเดอร์ ยิ่งกว่าคุ้ม !! แนะนำโปรเด็ดเช็คสลิปรายเดือน ร้านขนาดไหนก็แฮปปี้!

เพราะธันเดอร์ โซลูชั่น ตอบโจทย์ทุกขนาดร้านค้า ไม่ว่าจะขนาดเล็กจิ๋ว ไปจนขนาดใหญ่บิ๊กที่มีหลายสาขา ก็มีโปรโมชันรองรับ

5 วิธีป้องกันข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลจากมิจฉาชีพ

ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า ในปัจจุบันมีกลุ่มมิจฉาชีพพยายามเข้าถึงระบบและข้อมูลสำคัญ หนึ่งในข้อมูลสำคัญที่มิจฉาชีพเหล่านี้ให้ความสนใจคือ การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัว หรือการหลอกลวงเอาข้อมูลส่วนตัวของเรา เพื่อนำไปใช้งานแทนเจ้าของข้อมูล  เพื่อนำไปใช้ประกอบยืนยันตัวตนสวมรอยเป็นเรา เข้าไปโจรกรรมสร้างความเสียหายให้กับเจ้าของข้อมูลได้  ธันเดอร์บอกต่อ 5 วิธีป้องกันข้อมูลส่วนตัว รั่วไหล ป้องกันภัยจากมิจ(ฉาชีพ) ว่ามีอะไร วิธีแก้ไขปัญหาเมื่อตกเป็นเหยื่อ ทำอย่างไรได้บ้าง บ้าง 

วิธีป้องกันข้อมูลส่วนตัว ไม่ตกเป็นเหยื่อภัยออนไลน์

หากคุณไม่ได้ใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสมในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล คุณอาจเปิดโอกาสให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูลประจำตัว หรือฉ้อโกงบัตรเครดิต

โชคดีที่มีวิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถออนไลน์ได้อย่างปลอดภัย Panda Dome มีระบบป้องกันสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ดังนั้นคุณจึงสามารถท่องเว็บได้โดยไม่ต้องกังวล

 5 วิธีป้องกันข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล ป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ

วิธีป้องกันข้อมูลรั่วไหล

1. อย่าคลิกลิงก์ เว็บไซต์ที่ไม่คุ้นเคย

กฎเหล็กของการใช้อินเทอร์เน็ตคือห้ามคลิกลิงก์หรือไฟล์แนบ นอกจากคุณจะรู้ว่าลิงก์นั้นมาจากใคร แฮกเกอร์จำนวนมากจะส่งลิงก์หรือไฟล์แนบพร้อมข้อความที่เกี่ยวข้องเพื่อหลอกให้คุณคลิก โดยทั่วไปลิงก์หรือไฟล์แนบเหล่านี้จะซ่อนมัลแวร์ที่สามารถขโมยข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ เข้าถึงรหัสผ่าน หรือสอดแนมพฤติกรรมของคุณ เรื่องราวทั่วไปที่แฮกเกอร์มักจะใช้ได้แก่

  • มีหมายจับเป็นชื่อของคุณ
  • คุณถูกแฮกหรือสอดแนมแล้ว
  • มีปัญหาการส่งไปรษณีย์
  • มีคนปิดการใช้งานบัญชีของคุณ
  • ข้อมูลธนาคารของคุณถูกขโมย

 เมื่อคลิกไปแล้ว ก็อาจทำให้ถูกขโมยข้อมูลส่วนตัว หรือข้อมูลทางการเงินต่าง ๆ ได้  ธันเดอร์ แนะนำให้ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสไว้ ช่วยสแกนให้ได้ว่าลิงก์นั้นปลอดภัยหรือไม่ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกขโมยข้อมูลได้

2. ปิดบลทูธไว้ ถ้าไม่ได้ใช้งาน

ถ้าเราเปิดบลูทูธทิ้งไว้ ก็อาจจะเสี่ยงต่อการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ที่ไม่รู้จักทำให้ข้อมูลภายในโทรศัพท์ของเรารั่วไหลได้

3.ตั้งรหัสผ่านให้ยากไว้ก่อน

ไม่ใช้รหัสซ้ำกับแอปอื่น ๆ  เพราะยิ่งรหัสผ่านซ้ำ โอกาสที่จะโดนแฮ็กข้อมูลก็ยิ่งเป็นไปได้ง่าย การใช้รหัสผ่านเดิมซ้ำๆ เพื่อความสะดวกขอบคุณ แต่นั่นหมายความว่าหากมีคนถอดรหัสรหัสได้ พวกเขาจะสามารถเข้าถึงบัญชีที่สำคัญทั้งหมดของคุณได้ ถ้าเป็นไปได้ควรตั้งรหัสผ่านของคุณต่างกัน ใช้ตัวเลข ตัวอักษร การใช้อักษรตัวพิมพ์ใหญ่ และอักขระพิเศษที่หลากหลาย 

4.เปิดใช้ระบบพิสูจน์ตัวตน 2 ชั้น ป้องกันการแฮ็ก 

การตรวจสอบสิทธิ์แบบสองปัจจัย (2FA) จะตรวจสอบความพยายามในการเข้าสู่ระบบแต่ละครั้งเพื่อบล็อกการเข้าสู่ระบบจากบุคคลที่อาจขโมยรหัสผ่านบัญชี โดยจะมีการส่งชุดรหัสยืนยันให้เจ้าของบัญชียืนยันตัวตนเพิ่มเติม เช่น ข้อความหรืออีเมลพร้อมรหัสที่ไม่ซ้ำกันทุกครั้งที่ต้องเข้าสู่ระบบ ในการเข้าถึงบัญชี คุณต้องมีชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และ เข้าถึงรหัสแบบครั้งเดียว

ถ้ามีการเข้าสู่ระบบอย่างไม่ถูกต้องก็จะมีข้อความแจ้งเตือนไปที่บัญชีของเรา เพียงแค่นี้ก็จะทำให้เรารู้ว่ากำลังมีคนพยายามแฮ็กข้อมูลเราอยู่นั่นเอง

5.ลบประวัติการเข้าชมเว็บไซต์อย่างบ่อย ๆ

วิธีนี้นี้จะช่วยลดจำนวนการถูกติดตามในโลกออนไลน์ ที่ทำให้เสี่ยงต่อการโดนฉกฉวยข้อมูลไป เพราะประวัติการเข้าชม จะเป็นตัวบันทึกเหตุการณ์ และการกระทำต่าง ๆ ของเราบนโลกออนไลน์

ต้องทำอย่างไรเมื่อตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

เมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนหลอกลวงให้ตั้งสติ และหยุดการติดต่อกับมิจฉาชีพทันที

แจ้งธนาคารที่ใช้บริการทันที ผ่านช่องทาง Hotline คอลเซ็นเตอร์ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง หรือติดต่อสาขาธนาคาร ภายในเวลาทำการ เพื่อทำการระงับธุรกรรม หรือบัญชีชั่วคราวของผู้เสียหาย และบัญชีปลายทาง

แจ้งความอย่างรวดเร็วภายในเวลา 72 ชั่วโมง ผ่านทาง www.thaipoliceonline.com ตลอด 24 ชั่วโมง หรือไปแจ้งความที่สถานีตำรวจ

สัญญาณเตือนของแฮกเกอร์

สิ่งสำคัญคือต้องทราบสัญญาณทั่วไปของการถูกแฮก เพื่อให้คุณสามารถดำเนินการโดยเร็วที่สุด

  • การใช้งานอินเทอร์เน็ตของอุปกรณ์เพิ่มขึ้นสูงมาก
  • ความเร็วการทำงานของอุปกรณ์ช้าลง
  • แบตเตอรี่หมดอย่างรวดเร็วโดยไม่มีคำอธิบาย
  • คุณได้รับคำขอเปลี่ยนรหัสผ่านโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชั่นใหม่จะถูกดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติ

สรุป

สุดท้ายแล้ว ต้องมีสติในการทำธุรกรรมการเงินทุกครั้ง รวมถึงพ่อค้า แม่ค้า ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆที่รับเงินผ่านธุรกรรมการโอนเงินต่างๆ ด้วยแล้ว เพราะถ้าหากไม่ระแวดระวัง อาจหลงกล ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้โดยง่าย  ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากสลิปโอนเงินปลอมต่างๆ รวมถึงให้ระมัดระวังในการให้ข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ให้รหัส OTP ในการทำธุรกรรมการเงินกับใคร ระมัดระวังการคลิกลิงก์ โดยเฉพาะถ้าหากแจ้งว่ามาจากธนาคารให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่าเป็นมิจฉาชีพเพราะธนาคารไม่มีนโยบายส่งลิงก์ให้กับลูกค้า รวมถึงให้ระมัดระวังในการติดตั้งแอปต่าง ๆ โดยควรเลือกดาวน์โหลดจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นเกราะป้องกันภัยเบื้องต้น ไม่ให้หลงตกเป็นเหยื่อแก๊งมิจฉาชีพต่าง ๆ ได้โดยง่าย

Thunder Solution ช่วยแก้เกมกลโกง โดยเฉพาะร้านค้า ร้านขายของ ให้คุณรู้ตัวก่อนเงินหาย จากภัยสลิปปลอม  ให้รู้ทันมิจฉาชีพ ปลอดภัยกับร้านค้าของคุณได้มากกว่าด้วย “บริการตรวจสอบสลิปโอนเงินอัตโนมัติ” จาก ธันเดอร์ ทดลองใช้ฟรี นาน 7 วัน ใช้งานได้สูงสุด 120 สลิป เพียงสมัครสมาชิก เพื่อใช้งาน ที่หน้าเว็บไซต์ www.thunder.in.th

ข้อดี-เสีย แอพเช็คสลิปปลอมผ่านไลน์ vs แอพธนาคาร

ปัญหาร้านค้าเจอสลิปปลอม เป็นเรื่องที่ชวนปวดหัวค่ะ เพราะมันสามารถทำให้เราขาดรายได้จากการขายสินค้าไปไม่น้อยเลยแถมบางครั้งร้านกำลังยุ่ง แต่ไม่มีแจ้งเตือนหรือ sms แจ้งเตือนเวลามีเงินโอนเข้ามา ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาอย่างมาก เพราะลลูกค้ายืนยันว่าโอนแล้ว แต่พอแจ้งเตือนไม่ขึ้น หรือ sms ไม่แจ้งว่าได้รับยอดเงินเข้ามาจริงๆ เพื่อไม่อยากให้เสียลูกค้า เราอาจจะต้องเลิกแล้วต่อกันไปเพราะเสียเวลาลูกค้า แล้วรอระบบแจ้งยอดเงินเข้ามาอยู่ดี แต่ถ้าหากว่าเราเจอสลลิปปลอมปลลอมล่ะ แน่นอนว่า เสียหายแน่นอน แล้วเราจะทำยังไงดีเพื่อแก้ปัญหา แอปธนาคาร ไม่แจ้งเดือน หรือ sms ไม่ส่งมาให้

ในปัจจุบัน เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้จึงมีผู้พัฒนาระบบเช็คยอดเงิน หรือ แอพเช็คสลิปปลอมผ่านไลน์ ขึ้นมา แน่นว่านอกจากจะตัดปัญหา sms ไม่เข้า แจ้งเตือนไม่ขึ้นแล้ว ยังสามารถ เช็คสลิปปลอมได้เลย ณ เวลลนั้นทันที ซึ่งวันนี้เราจะมา เปรียบเทียบให้เห็นกันชีดๆอีกครั้ง ว่าข้อดีข้อเสีย ระหว่าง แอพเช็คสลิปลอมผ่านไลน์ และ แอปธนาคาร มีอะไรบ้าง 

เปรียบเทียบ ข้อดี ข้อเสีย ระหว่าง แอพเช็คสลิปปลอมผ่านไลน์ vs แอพธนาคาร

ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้แอพเช็คสลิปปลอมผ่านไลน์

ข้อดี

1. มีฟังก์ชันในการตรวจสลลิปหลากหลลายรูปแบบ

ยืนยัน Slip Verification ที่ทำงานแบบเรียลไทม์อัตโนมัติ ส่งสลิปในแชทปุ๊บ ตรวจปั๊บว่าข้อมูลธุรกรรมถูกต้อง ลดขั้นตอนการตรวจสอบของแผนกบัญชีออกได้สบายๆ แถมยังพ่วงมาด้วย ฟังก์ชันการตรวจสลิปหลลากหลลายรูปแบบ ดังนี้ 

1.1 สลิปยอดเงินไม่ตรง หรือสลิปปลอม

เมื่อมีการส่งสลิปนั้นๆไปที่ห้องแชท บอทเช็คสลิปก็จะทำการตรวจสอบ พร้อมกับขึ้นแจ้งเตือนสีแดง พร้อมระบุข้อความว่า สลิปโนเงินไม่ถูกต้อง

1.2 สลิปยอดเงินต่ำกว่ากำหนด

เช่น หากตั้งค่ายอดโอนเงินไว้ขั้นต่ำที่ 5 บาท แต่เมื่อส่งสลิปเข้าไปตรวจสอบ แจ้งเตือจะขึ้นสีเหลืองพร้อมกับแสดงข้อความ “จำนวนยอดเงินต่ำกว่ากำหนด”

1.3 สลิปซ้ำ

เมื่อสลิปถูกส่งเข้ามาในห้องแชท ตัวบอทเช็คสลิปของ Thunder จะทำการตรวจสอบและแจ้งเตือนขึ้นสีแดง พร้อมกับแสดงข้อความว่า “สลิปนี้ถูกใช้งานไปแล้ว”

1.4 สลิปชื่อผู้ไม่รับไม่ถูกต้อง

ตามที่เราตั้งค่าไว้ เมื่อมีการส่งสลิปเข้าไปแล้วบอทตรวจสอบได้ว่าสลิปนี้ชื่อไม่ตรงกับบัญชีผู้รับที่เราทำการตั้งค่าไว้จะมีการแจ้งเตือนว่าชื่อผู้รับไม่ถูกต้องพร้อมกับ ไฮไลท์ชื่อผู้รับที่โอนไป

1.5 สลิปที่เวลาไม่เป็นปัจจุบัน

ในกรณีนี้ อาจมีลูกค้าอาจส่งสลิปเข้ามาช้า บอทก็สามารตรวจสอบได้ว่า สลิปโอนเงินรายการนี้ ทำรายการไปเมื่อไหร ก็จะสามารถทำให้เรานั้นตรวจสอบยอดนั้นได้ง่านขึ้น เช่น เมื่อ 7 นาทีที่แล้ว หรือ 3 วันที่แล้ว เป็นต้น

1.6 สลิปที่ถูกต้องครบถ้วน

บอทเช็คสลิปจะขึ้นเป็นสีเขียว พร้อมรายละเอียดต่างๆ เช่นชื่อผู้รับ ธนาคารที่เราตั้งค่าไว้เพื่อรับยอด QR Code อย่างแม่นยำ 100% เพื่อวิธีเช็คสลิปปลอมให้มีประสิทธิภาพมากขิ่งขึ้น

2. มีฟังชันก์การตรวจสอบสลิปผ่านไลน์กลุ่มของร้านค้าโดยเฉพาะ

โดยตัว Thunder Bot จะถูกติดตั้งให้ใช้งานผ่าน Line Official โดยสามารถติดตั้งได้ผ่านไลน์กลุ่มที่ลูกค้าใช้งานได้เป็นหลัก และในทุกๆการตรวจสอบสลิปข้อมูลก็จะถูกส่งไปที่ ไลน์กลุ่มหลังบ้าน เพื่อให้แอดมินหรือเจ้าขแงกิจการสามารถดูยอดได้ตลอดเวลา 

3. การทำงานโดนใช้ ฟังชันก์ บอท Notify

เมื่อมีการส่งสลิปเข้าห้องแชทใน Line OA หรือในกลุ่ม เมื่อบอททำการเช็คสลิปโอนเงินเสร็จ ก็จะส่งข้อมูลการตรวจสอบเข้าไปที่ไลน์หลังบ้านทันที เพื่อให้แอดมินหรือเจ้าของกิจการที่ต้องการจะดูยอดธุรกรรมต่างๆ ตัวอย่างเช่น ผลการรับยอดที่ถูกต้อง หรือแม่แต่การดูสลิปซ้ำ สลิปปลอม สลิปที่ไม่มี QR Code ตัวบอทก็จะส่งสลิปนั้นๆ เข้ามาให้แอดมินทำการตรวจสอบทันที ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็วแล้วเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบได้มากขึ้น

4. Dashboard

ในส่วนนี้จะแสดงข้อมูลต่างๆ เช่น ยอดเงินทั้งหมดของสลิปที่ทำการสแกน รวมทั้งดูยอดรายวัน รายเดือน เหมาะสำหรับเจ้าของกิจการที่ไม่ได้จรวจเช็คในไลน์กลุ่ม แค่ส่งสลิปเข้าไปให้ตรวจ Slip Verification เราก็ได้ข้อมูลยอดขายแยกตามสาขา รายวัน รายเดือนได้อย่างสบายใจ

ระบบสิทธิ์การเข้าใช้งาน : เราสามารถตั้งสิทธิ์เข้าถึงการดูข้อมูลการเงินให้กับผู้ดูแลในไลน์กลุ่มได้

5. มีระบบแยกสาขา : เราสามารถรู้ยอดขายแยกสาขา แยกบัญชีโอนได้ โดยที่ระบบจะมีหน้า Dashboard สรุปยอดให้ ดูข้อมูลย้อนหลังได้ตลอด

ข้อเสีย

สำหรับข้อเสียของการเลือกใช้งานระบบเช็คสลิป หรือ แอพเช็คสลิปปลอมผ่านไลน์นั้น มีแค่เรื่องของค่าใช้จ่าย หรือค่าบริการรายเดือนนั่นเอง แต่แน่นอนว่า หากใช้ ระบบเช็คสลิปปลอมผ่านไลลน์ของ Thundr Solution รับรองว่าคุ้มค่าแน่นอนค่ะ เพราะว่ามีหลายหลลายราคาให้เลือกตามความเหมาะสมของร้านค้าแลละขนาดธุรกิจของท่านได้เลย โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 99 บาท เท่านั้น ก็สามารถใช้ฟังชั่นทั้งหมดได้เลลยแบบไม่มีกัํกแน่นอน

สมัครใช้บริการ Slip Verification ตรวจสลิปปลอม ผ่านแพลตฟอร์ตหรือเว็บไซต์ตัวกลาง ที่มีการเชื่อม API กับธนาคารไว้เรียบร้อยแล้ว ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เจ้าของธุรกิจ รวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้ามือใหม่นิยมใช้ เพราะเพียงแค่สมัครใช้บริการผ่านเว็บไซต์ กรอกข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงเลขบัญชีธนาคารที่ใช้รับเงิน เพียงแค่นี้ก็สามารถใช้งานผ่านเว็บไซต์ได้ทันที หรือจะเลือกเป็นการใช้บริการผ่าน Chat Bot ที่เชื่อมกับ API ก็สามารถทำได้เช่นกัน

อาจจะดูไม่ได้สำคัญมากมายนัก แต่เรากล้าการันตีว่า การใช้ Thunder Solution ตรวจเช็กสลิปโอนเงิน และสลิปปลอมต่าง ๆ จะมอบความสบายใจให้ผู้ประกอบการทุกท่านได้จริง ๆ เพราะเราอยากให้ผู้ประกอบการทุกท่านมีความสุขกับการบริหารร้าน โดยที่ไม่ต้องมานั่งระแวงกับปัญหาเรื่องเช็คสลิปโอนเงินปลอมอีกต่อไป เอาเป็นว่า โยนทุกอย่างให้ Thunder Solution จัดการให้ แล้วรอดูผลลัพธ์สวย ๆ ได้เลยจ้า!

ข้อดี-ข้อเสีย ของการใช้แอปธนาคารตรวจสลิป

ตรวจสลลิปผ่านไลน์

ข้อดี

  1. หากใช้  Mobile Banking ก็ใช้ตรวจสอบยอดเงินโอนเข้าบัญชีได้เลย ผ่านทางแจ้งเตือนในรูปแบบ

ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวแอปธนาคาร Sms แจ้งเตือนหรือผ่านทางไลน์ที่เชื่อมต่อกับแปพธนาคารอยู่แล้ว 

  1. ตวจรวจสอบสลิปด้วยการสแกน QR Code บนสลิป ได้

ปัจจุบันทุกธนาคารได้พัฒนาสลิปโอนเงินให้มี QR Code อยู่บนสลิปด้วย เพื่อให้ผู้รับโอนได้ตรวจสอบสลิปนั้น ๆ ว่าเป็นของจริงหรือไม่ โดยมีขั้นตอนดังนี้ 

ขั้นตอน ตรวจสอบ QR Code โอนเงิน

  1. เมื่อได้รับสลิปมาแล้วให้บันทึกรูปไว้ในเครื่อง 
  2. ใช้เปิดแอปธนาคารใดก็ได้ กดเข้าไปที่เมนูสแกน QR code 
  3. เลือกสแกนจากรูปภาพ แล้วเลือกรูปสลิปที่บันทึกเอาไว้ 
  4. ถ้าสลิปเป็นของจริงจะปรากฏข้อมูลการทำธุรกรรมนั้น ๆ โดยให้ตรวจสอบว่า ชื่อผู้โอน ยอดเงิน และวัน-เวลาที่โอน ตรงกับในสลิปหรือไม่ หากเป็นสลิปปลอมจะไม่พบข้อมูล

ข้อเสีย

  1. บางครั้งเมื่อระบบธนาคารขัดข้องก็มีโอกาสที่ระบบแจ้งเตือนไม่สามารถใช้งานได้ในระยะเวลาหนึ่งทำให้ไม่ได้รับแจ้งเตือนเข้ามาทันที  จึงไม่สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่ายอดเงินที่ได้รับมานั้นถูกต้องหรือไม่ เพราะถ้าหากว่าเจอกลโกงสลลิปปลลอมเข้าไป หน้าสลิปโอนเงินที่โชว์ให้เรดูก่อนที่ตัวระบบจะแจ้งเตือนเข้ามาก็อาจจะสายไปแล้วก็ได้
  2. ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าสลิปที่โช์ให้ดูนั้นเป็นสลิปโอนเงินที่นำมาใช้ซ้ำหรือไม่ หากโดนใช้ช่องว่างในระหว่างที่ระบบธนาคารล่ม หรือว่าแจ้งเตือนไม่เข้า เพราะต่อให้ถ่ายรูปไว้ยังไม่ เมื่อนำมาเช็คสลิปผ่านการสแกน QR Code ย้อนหลัง สลิปนั้นๆก็ยังตรวจสอบได้อยู่ดี ทั้งนี้จะต้องระวังเป็นพิเศษหากมีออเดอร์ซ้ำ ๆ ที่ยอดเงินเท่ากันก็อาจทำมห้เกิดความสับสนได้
  3. หากเจ้าของร้านมีหลายร้านค้า แต่มีเพยงบัญชีเดียวจาไม่สามารถแยกสรุปยอดของแต่ละร้านได้
  4. แอปธนาคารไม่สามารถสรุปยอดรายวันได้ 
  5. ไม่มีระบบหลังบ้าน เพื่อให้ตรวจสอบรายการต่างๆได้ ทำได้เพียงแจ้งเตือนยอดเงินเข้าออกเท่านั้น

แอพเช็คสลิปโอนเงินปลอมเหมาะกับใคร

แน่นอนว่าแอพเช็คสลิปโอนเงินปลอมนั้น วัถุประสงค์ทำมาเพื่อนเป็นเครื่องมือ สำหรับพ่อค้าแม่ค้า ร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะทั้งออฟไลน์ และน่านออนไลน์ เพื่อบอกลาปัญหาและความยุ่งยากทั้งหมดที่ไม่มีเวลาเช็กสลิปออนไลน์ก็ไม่ต้องกังวล ขอแนะนำให้รู้จักกับ Thunder  Line Bot จาก Thunder Solution บริการที่จะช่วยร้านค้าเช็กสลิปปลอมได้แบบเรียลไทม์ รู้ได้ว่า สลิปนี้เป็นสลิปที่นำมาใช้ซ้ำหรือเปล่า ข้อมูลทั้งหมดถูกต้องหรือไม่ และสามารถรู้ผลได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาสแกน QR Code หรือรอแจ้งเตือนผ่านธนาคาร สะดวก ปลอดภัย ข้อมูลถูกต้องแม่นยำ ไม่ต้องตกเป็นเหยื่อสลิปปลลอม อีกต่อไป

วิธีเช็คสลิปปลอมผ่านไลน์ ทำยังไง

ตรวจสอบสลิปโอนเงินฟรีได้เลยเพียง 3 ขั้นตอนง่าย ๆ

  1. เพิ่ม Line OA ของ Thunder

กดปุ่มเริ่มใช้งานเพื่อ Add Line OA ของ Thunder จากนั้นกดเริ่มสมัครใช้งาน และกรอกข้อมูลของร้าน

  1. เข้ากลุ่มเพื่ออัปโหลดสลิป

ชวน Line OA ของ Thunder เพื่อเข้ากลุ่มและเริ่มอัปโหลดสลิปโอนเงิน

  1. ส่งรูปสลิปโอนเงินลงกลุ่ม

ส่งรูปสลิปที่ลูกค้าโอนเงินลงกลุ่ม ที่เหลือปล่อยให้เราช่วยเช็กยอดเงินให้คุณเอง

ระบบจะส่งผลการตรวจสลิปกลับมาทันที และบอกรายละเอียดเกี่ยวกับสลิปที่เราส่งเข้าไปว่าถูกต้องหรือไม่ เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อย

เพียงง่ายๆ 3 สเต็ป ใช้งานง่าย ไม่ถึง 1 นาที ก็เช็คสลิปได้แล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลากับการตรวจสลิปแบบเดิมๆ

 สรุป

สุดท้ายนี้ อยากเตือนพ่อค้าแม่ค้าทั้งหลายให้รอบคอบในการตรวจสลิป ซึ่งจะเห็นแล้วว่าบ างครั้งเราอาจจะต้องมีเครื่องมือมาช่วยในการตรวจสลิปด้วยเช่นกัน  เช่นเลือกใช้บริการเช็กสลิปปลอม เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะเกิดจากลูกค้าแจ้งโอนแล้วไม่โอน หรือส่งสลิปปลอมมาให้ เพราะภัยมิจชาชีพมักมากับการทำธุกรรมทางออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ ยิ่งเตรียมรับมือดีเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มความปลอดภัยให้กับธุรกิจมากขึ้นเท่านั้น

เรื่องน่ารู้ ภาษีร้านค้าออนไลน์ จ่ายยังไงไม่ให้โดนปรับ

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องทำความเข้าใจกันให้ดี เรื่องราวเกี่ยวกับการเสียภาษี ขายของออนไลน์ยื่นภาษียังไงนะ บทความนี้เอาคำตอบมาให้คุณได้ศึกษากันแล้ว พร้อมพาไปรู้จักภาษีร้านค้าออนไลน์ว่าคืออะไร รายได้เท่าไหร่จำเป็นต้องยื่นภาษี แล้วถ้าไม่เสียภาษีอย่างถูกต้อง จะเป็นยังไง มาเริ่มกันเลย!

ภาษีร้านค้าออนไลน์ คืออะไร

ภาษีร้านค้าออนไลน์ คืออะไร

ในการขายของออนไลน์ภาษีเป็นเรื่องสำคัญที่คุณต้องรู้ ไม่ว่าจะขายอะไรก็ตาม ตรวจสอบรายได้ให้ดีว่าต้องเสียภาษีหรือไม่ ภาษีร้านค้าคือ ภาษีเงินได้ชนิดหนึ่ง เพราะการขายของออนไลน์เป็นเงินได้ประเภท 40(8) เป็นเงินได้บุคคลธรรมดาที่เปิดร้านขายของบนโลกออนไลน์ไม่ว่าจะผ่านแพลตฟอร์มใดก็ตาม เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนดต้องทำการยื่นภาษีให้ถูกต้อง

ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษี ไหม

ขายของออนไลน์ต้องทำการเสียภาษีตามกฎที่กำหนดไว้ เมื่อมีรายได้ตามเกณฑ์ ภาษีของร้านค้าออนไลน์แต่ละร้านก็จะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรายได้และการลดหย่อนของเจ้าของธุรกิจนั้น ๆ แม้ไม่ได้จดเป็นนิติบุคคลก็ต้องยื่นภาษีทุกปี

ร้านค้าออนไลน์มีรายได้เท่าไหร่จึงจะต้องเสียภาษี

สำหรับภาษีร้านค้าออนไลน์ที่เป็นบุคคลธรรมดาถ้ามีรายได้เกิน 60,000 บาทต่อปี (กรณีโสด) และรายได้เกิน 120,000 บาท (กรณีสมรส) ต้องทำการยื่นภาษีเงินได้ให้ทางรัฐตรวจสอบ ส่วนจะเสียภาษีเพิ่มเติมหรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องตัดสินกันอีกครั้งหนึ่ง แต่หน้าที่ของร้านค้าออนไลน์คือ เมื่อรู้ตัวว่ารายได้ถึงเกณฑ์ต้องทำการยื่นแบบเสียก่อน

ขายของออนไลน์ต้องยื่นภาษียังไง

ขายของออนไลน์ต้องยื่นภาษียังไง

การยื่นภาษีร้านค้าออนไลน์นั้น ต้องยื่นแบบภาษีบุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90 กรณีที่เปิดร้านเป็นบุคคลธรรมดา ไม่มีรายได้ประจำจากการทำงานที่บริษัท การขายของออนไลน์นับเป็นรายได้มาตรา 40(8) เงินได้ที่ทำอาชีพอิสระ มีสูตรคำนวณคือ เงินได้-ค่าใช้จ่าย-ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิที่นำมาคิดภาษี โดยที่ผู้มีรายได้ในมาตรา 40 (8) นี้สามารถคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% ได้

ภาษีรูปแบบที่ 2 ที่ต้องยื่นคือ ภาษีกลางปี ภ.ง.ด. 94 เป็นการสรุปรายได้ทั้งหมดในครึ่งปีแรก คือ 1 มกราคม-30 มิถุนายน กลุ่มที่เข้าข่ายต้องยื่นภาษีนี้ก็คือ คนโสดที่มีรายได้เกิน 60,000 บาท และคนมีคู่สมรสได้เกิน 120,000 บาท ไม่รวมจากรายได้จากงานประจำ ซึ่งนับว่าเป็นข้อดีที่จะช่วยให้จ่ายภาษีได้ถูกลง หากพ่อค้าแม่ค้าไม่ยื่นภาษีกลางปี ภ.ง.ด. 94 รายได้ทั้งหมดจะถูกนำไปรวมกับ ภาษีบุคคลธรรมดา ภ.ง.ด. 90 และต้องจ่ายภาษีแพงขึ้น ดังนั้นแนะนำให้ยื่นภาษีกลางปีด้วยดีกว่า

ขายของออนไลน์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม

สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์สามารถลดหย่อนได้เหมือนกรณีบุคคลทั่วไปปกติ ดังนี้ 

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนบุตร 30,000 บาทสำหรับบุตรคนแรกและ 60,000 บาทสำหรับบุตรคนที่ 2
  • ค่าลดหย่อนบิดามารดาอายุ 60 ปีขึ้นไปคนละ 30,000 บาท
  • ค่าลดหย่อนผู้พอการและทุพพลภาพ 60,000 บาท
  • ค่าฝากครรภ์ ทำคลอด 60,000 บาท

นอกจากนี้ยังมีหมวดในการลดหย่อนภาษีในส่วนของประกันและการลงทุน การบริจาค อสังหาริมทรัพย์ ที่สามารถมาใช้ในการลดหย่อนได้อีกด้วย เหมือนกับการยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

หากผู้ขายร้านค้าออนไลน์ ไม่ยื่นภาษีจะเป็นอย่างไร

แน่นอนว่าการเสียภาษีร้านค้าออนไลน์จำเป็นอย่างมากที่ต้องยื่นแบบตามเวลาที่กำหนด สำรวจรายได้และคำนวณให้ดีว่าสามารถลดหย่อนส่วนไหนได้บ้าง อย่าเลี่ยงการยื่นภาษีเพราะเมื่อมีการตรวจสอบรายได้ขึ้นมากอาจจะต้องเสียภาษีเพิ่มเป็น 2 เท่า และโดนค่าปรับตามมาอีก

สรุปบทความ

และนี่คือเรื่องราวเกี่ยวกับภาษีร้านค้าออนไลน์ที่เอามาฝากกัน สำรวจตัวเองหรือยังว่ามีรายได้เท่าไหร่ ยื่นแบบตรวจสอบภาษีเรียบร้อยไหม ต้องยื่นแบบไหนถึงจะถูกต้อง ร้านค้าออนไลน์นั้นสามารถใช้สิทธิลดหย่อนได้เช่นเดียวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนั้นคำนวณให้ดีก่อนยื่นจะดีที่สุด นอกจากเรื่องภาษีแล้ว พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ต้องทำเกี่ยวกับประกันร้านค้าออนไลน์ หาเครื่องมือตรวจสลิปโอนเงินเมื่อลูกค้าโอนเงินมาด้วย เพื่อการค้าขายที่ปลอดภัยจากความเสี่ยงการถูกโกง

5 เทคนิคเด็ด ขายของออนไลน์ ยอดขายพุ่ง

อยากจะทำอะไรก็ต้องมีเทคนิคกันหน่อย การขายของออนไลน์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่แค่โพสต์ขายหรือไลฟ์สดเท่านั้นแต่ต้องมีกลยุทธ์กระชากใจลูกค้าด้วย เพิ่มความเป็นที่รู้จักอย่างไร เทคนิคไหนที่จะช่วยให้ยอดขายพุ่งกระฉูด เปิดโลกการค้าขายออนไลน์ของคุณให้มากขึ้นอีกนิดเพื่อพิชิตยอดขายที่ใจฝัน!

วิธีขายของออนไลน์ปัง เริ่มต้นยังไง

การขายของออนไลน์อาจจะคิดว่าไม่ยาก แค่เอาสินค้าโพสต์โชว์สวย ๆ เท่านั้น หรือใครที่พูดเก่งนำเสนอเก่งหน่อยก็ใช้การไลฟ์ขายเอา แต่เชื่อเถอะถ้าคุณมีเทคนิคเหล่านี้จะช่วยได้มากขึ้น เริ่มจาก

1. เลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด

การเลือกสินค้าตรงตามที่ตลาดต้องการ การขายออนไลน์ที่เลือกใช้สินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดอาจจะมีคู่แข่งมากสักหน่อย แต่ก็มีเปอร์เซ็นต์ที่คนจะให้ความสนใจอยู่มากเช่นเดียวกัน คุณจึงจำเป็นต้องทำให้ร้านของคุณน่าสนใจและเป็นที่จดจำมากกว่าร้านอื่น ๆ

2. ถ่ายภาพสินค้าให้สวยงาม น่าสนใจ

ถ่ายภาพสินค้าให้สวยงาม น่าสนใจ

สิ่งที่ช่วยให้ร้านค้าของคุณน่าสนใจในวงการขายของออนไลน์ คือ รูปที่สวยดึงดูดสายตา เป็นเคล็ดลับขายของออนไลน์ที่หลายร้านใช้ ไม่จำเป็นเลยที่คุณต้องมีโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่ แต่การจัดมุม จัดแสง สี ของรูปสินค้าด้วยตัวเองก็ทำได้ เก็บความรู้เหล่านี้จากสินค้าอื่นเยอะ ๆ แล้วลองเอามาประยุกต์ใช้ดูนะ

3. ตั้งชื่อร้านให้จดจำได้ง่าย

ชื่อร้านต้องเข้าใจง่าย เข้าถึง พูดได้ติดปาก เป็นอีกวิธีขายของออนไลน์ที่คุณสามารถทำได้ บางร้านเพียงแค่ชื่อร้านก็เป็นกระแสแล้ว แต่ไม่แนะนำให้ใช้คำที่รุนแรง หยาบคายหรือไปในทางลบ เพราะคำพวกนั้นอาจจะเป็นกระแสครั้งเดียว ตูม แล้วร่วงลงมาตกแบบไม่สวยงามนัก แนะนำเป็นชื่อร้านที่สั้น กระชับ จดจำง่ายดีกว่า

4. เขียนรายละเอียดสินค้าให้น่าสนใจ

การเล่าเรื่องราวของสินค้าจะทำให้สินค้าของคุณไม่เหมือนใครมากขึ้น ในการขายของออนไลน์นั้น จากเสื้อตัวเดียวอาจจะกลายเป็นเสื้อที่มีค่ามากขึ้นได้เลย รายละเอียดที่มากับการเล่าเรื่องต้องเป็นรายละเอียดจริงของสินค้า ไซส์ ขนาด วัสดุต้องชัดเจน เพื่อแสดงความจริงใจต่อลูกค้า รับรองว่าต้องมีลูกค้าไม่น้อยที่ประทับใจในส่วนนี้แล้วกลายเป็นลูกค้าประจำร้านคุณได้เลย

5. เลือกแพลตฟอร์มการขายให้เหมาะสม

เลือกแพลตฟอร์มการขายให้เหมาะสม

ปัจจุบันมีช่องทางการขายของออนไลน์ค่อนข้างเยอะ ก่อนที่จะลงทุนขายของออนไลน์สิ่งที่ต้องศึกษาก่อนสิ่งใดคือ การสำรวจแพลตฟอร์มที่เหมาะกับสินค้าของคุณ สำรวจฐานผู้ใช้งาน สำรวจระบบต่าง ๆ ของแพลตฟอร์มนั้น และวิเคราะห์ดูว่าแพลตฟอร์มนี้เหมาะกับสินค้าของคุณไหม

6.  วางแผนโปรโมทสินค้า

การโปรโมทสินค้าเป็นวิธีขายของออนไลน์ที่สำคัญมาก ๆ อย่างที่บอกว่าการเลือกแพลตฟอร์มนั้นสำคัญ และคุณต้องรู้วิธีการโปรโมทสินค้าของคุณอย่างถูกต้องด้วย การยิงโฆษณาของแต่ละแพลตฟอร์มมีเงื่อนไขไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นวางแผน เป้าหมาย งบประมาณ และความน่าสนใจของคอนเทนต์ที่คุณจะโปรโมทให้ดี

7. บริการลูกค้าให้น่าประทับใจ

การบริการลูกค้าเป็นสิ่งที่ร้านค้าออฟไลน์และการขายของออนไลน์ต้องให้ความสำคัญ ความประทับใจแรก คือการนำเสนอรายละเอียดของสินค้าอย่างตรงไปตรงมา รับรองคุณภาพและความรับผิดชอบหากมีการชำรุดเสียหาย รวมถึงอาจจะมีการพูดคุยสอบถามเกี่ยวกับการใช้งานและขออนุญาตลูกค้านำมาใช้ในการโปรโมท เพื่อการันตีคุณภาพของสินค้า มีโปรโมชันสำหรับลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ และอำนวยความสะดวกในการจัดส่ง เป็นต้น

สรุปบทความ

ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่า อยากขายของออนไลน์เริ่มยังไงดี เก็บข้อมูลตรงนี้แล้วลองเอาไปใช้ในร้านค้าออนไลน์ของคุณได้เลย การขายสินค้าออนไลน์ในปัจจุบันค่อนข้างมีคู่แข่งสูง แต่หากคุณมีกลยุทธ์ที่เหนือชั้นรับรองเลยว่ายอดขายของคุณต้องพุ่งกระฉูดอย่างแน่นอน และอย่าลืมเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยอย่างบริการตรวจสลิปโอนเงิน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องของสลิปธนาคารว่ามีการโอนจริงไหม จะได้ไม่ต้องเสียใจและตกเป็นเหยื่อพวกมิจฉาชีพในรูปแบบของลูกค้า

ขั้นตอนเตรียมพร้อมก่อนเปิดธุรกิจร้านอาหาร ให้ไม่สะดุด มีอะไรบ้าง

ธุรกิจร้านอาหารมีแค่เชฟไม่ได้! มาดูขั้นตอนการเปิดร้านอาหารกัน อยากเปิดร้านอาหารให้ปัง ๆ ต้องทำอย่างไรลิสต์กันเป็นข้อ ๆ ได้เลย เปิดร้านอาหารต้องเตรียมอะไรบ้าง การวางแผนการตลาด กลยุทธ์ไหนที่น่าสนใจ ทำเลแผนผังต้องดูฮวงจุ้ยไหม กฎข้อบังคับที่ร้านอาหารต้องรู้มีอะไรบ้าง ขั้นตอนการเปิดร้านอาหารต้องเริ่มจากอะไร มาเริ่มเก็บข้อมูลไปพร้อมกันเลย!

เปิดร้านอาหาร ต้องเตรียมอะไรบ้าง

เปิดร้านอาหาร ต้องเตรียมอะไรบ้าง

สำหรับใครที่อยากเปิดธุรกิจร้านอาหาร ไม่เพียงแค่มีเชฟฝีมือดีแล้วเท่านั้น แต่จำเป็นที่ต้องเตรียมองค์ประกอบอื่น ๆ ควบคู่ไปด้วย เริ่มจาก

1. วางแผนธุรกิจกำหนดคอนเซ็ปต์ร้านอาหาร

แน่นอนว่าการเปิดธุรกิจร้านอาหารไม่ว่าเปิดแบบเล็ก ๆ สบาย ๆ หรือเปิดแบบใหญ่โตระดับภัตตาคาร ต้องวางคอนเซ็ปต์ของร้านให้ดีเสียก่อน ว่าจะไปในทิศทางไหน เพราะคอนเซ็ปต์จะเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งภายในร้าน ตั้งแต่หน้าร้าน บรรยากาศ โต๊ะเก้าอี้ ถ้าตั้งคอนเซ็ปต์ที่แน่นอนจะช่วยให้การเปิดร้านอาหารมีทิศทาง ไม่ทำแบบไม่มีแบบแผน

2. กำหนดกลุ่มเป้าหมาย

การกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นเรื่องที่ทุก ๆ ธุรกิจจำเป็นต้องทำ สำหรับธุรกิจร้านอาหารก็เช่นเดียวกัน ถึงแม้อาหารจะสามารถเข้าไปทุกกลุ่มเป้าหมายแต่ก็ยังต้องตั้งกลุ่มลูกค้าที่เป็นหลักเสียก่อน เพื่อการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม ยิ่งเป็นการทำโฆษณาออนไลน์แล้วจะได้มีฐานลูกค้าเพื่อเริ่มต้นการยิงโฆษณาอย่างตรงจุด

3. วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด

กลยุทธ์การตลาดของธุรกิจร้านอาหารนั้นสามารถใช้ได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์อย่างคลิปสั้น ๆ ลงสื่อ หรือภาพอาหารสวย ๆ เป็นภาพนิ่ง ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องหาจุดเด่นของร้านในชัดเจนเพื่อวางแผนกลยุทธ์ให้ถูกต้อง ความเป็นไปได้ในธุรกิจร้านอาหารคืออะไร แล้วคู่แข่งมีความสามารถขนาดไหนต้องวิเคราะห์ให้ขาด จะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จมากขึ้น รวมทั้งกำหนดงบประมาณทางการตลาดให้เหมาะสมก็จะช่วยให้ธุรกิจร้านอาหารของคุณมีแนวทางและมั่นคงยิ่งขึ้น

4. เลือกทำเลที่เหมาะสม

สำหรับทำเลที่ตั้งของธุรกิจร้านอาหารนั้น เมื่อได้คอนเซ็ปต์ของร้านแล้ว ทำเลเป็นสิ่งที่ต้องมองหา ถ้าร้านอาหารเน้นการนั่งรับประทานที่ร้าน ต้องเลือกที่มีผู้คนพลุกพล่าน แต่ถ้าคุณเน้นการขายออนไลน์ สามารถเลือกทำเลที่ตั้งที่ถูกได้เพราะไม่ต้องใช้หน้าร้านมากนัก ถ้าอยากขายนักท่องเที่ยว ก็เลือกย่านการท่องเที่ยวเป็นหลัก เป็นต้น

5. การเลือกเมนูและราคา

เมนูอาการมี 108 เมนู แม้คุณจะตั้งคอนเซ็ปต์ธุรกิจร้านอาหารได้แล้วก็ตามก็ยังมีเมนูอีกมากมายที่คุณต้องเลือก และตั้งราคา ถ้าความคิดของคุณไม่นิ่ง แนะนำให้ใช้วิธีการเปรียบเทียบกับร้านที่มีคอนเซ็ปต์ใกล้เคียงกับคุณมากที่สุดเป็นแนวทางก่อน แล้วค่อยเพิ่มลดหลังจากวิเคราะห์จากการสั่งออเดอร์ของลูกค้าแล้ว

6. การวางผัง และตกแต่งร้าน

ทำไมร้านอาหารบางร้านมีคนเข้าไปเยอะจังทั้งที่แพงมาก? ธุรกิจร้านอาหารสิ่งที่สำคัญไม่แพ้รสชาติของอาหารเลยคือบรรยากาศรอบด้าน ยิ่งเป็นยุคออนไลน์ที่ทุกคนเป็นอินฟลูเอนเซอร์ได้แล้ว การทำบรรยากาศร้านให้น่าเข้ายิ่งเป็นเรื่องสำคัญ ตกแต่งร้านโดยใจมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว นอกจากความสวยแล้วต้องดูการใช้สอนพื้นที่ให้มีประโยชน์มากที่สุดด้วย

7. หาแหล่งซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบ

หาแหล่งซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบ

ผ่านมาหลายข้อแล้วสำหรับการเปิดร้านอาหารต้องเตรียมอะไรบ้าง อีกข้อที่ต้องใส่ใจ คือ การเลือกซื้ออุปกรณ์และวัตถุดิบ ทั้งสองอย่างนี้สำคัญกับธุรกิจร้านอาหารพอ ๆ กับทุกข้อ อยากบอกว่า ถูกและดี มีอยู่จริง แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาพบ แพงแล้วจะคุ้มค่า 100% ก็ไม่ได้หมายถึงทุกอย่าง ดังนั้นอย่างเลือกที่ราคาแต่ให้ดูที่คุณภาพ และความเหมาะสมจะดีกว่า

8. ศึกษากฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

สำหรับทุก ๆ การทำธุรกิจต้องมีกฎระเบียบตามประเทศนั้น ๆ กำหนด เช่นเดียวกับการทำธุรกิจร้านอาหาร กฎหมาย และข้อบังคับหลัก ๆ ในการเปิดร้านอาหารต้องเตรียมอะไรบ้างนั้น สิ่งที่คุณต้องรู้ คือ การจดทะเบียนให้ถูกต้อง ต้องสามารถเปิดเผยสถานที่ตั้งรวมถึงภายในร้านได้ มีการเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยที่สามารถเลือกจดได้ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีใบอนุญาตสำหรับพื้นที่ประกอบกิจการไม่เกิน 200 ตารางเมตร และ ใบอนุญาตสำหรับพื้นที่ประกอบกิจการเกิน 200 ตารางเมตรขึ้นไป ร้านคุณเป็นแบบไหนต้องเลือกให้ถูกด้วยนะ

9. ทดสอบระบบร้าน

ระบบของร้านนั้นหมายถึงการจัดการทุกอย่างภายในร้านได้อย่างถูกต้องสมดุล ธุรกิจร้านอาหารไนปัจจุบันเริ่มมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการจัดการบัญชีของร้าน จัดการบุคลากร การจัดสรรการบริการลูกค้า ด้วยการใช้เทคโนโลยีมาช่วย ไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบหน้าร้านหรือหลังร้านก็ตาม

สรุปบทความ

การจะทำธุรกิจร้านอาหารไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็มีรายละเอียดที่คุณต้องใส่ใจเยอะ ไม่ว่าจะเป็นส่วนเอกสาร สถานที่ และระบบการจัดการ ดังนั้นใครที่อยากเปิดร้านอาหารต้องมีการวางแผนอย่างเหมาะสม คอนเซ็ปต์ แผนการตลาด การประชาสัมพันธ์ต้องตรงจุด เลือกเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการระบบ ไม่ว่าจะเป็นการสั่งอาหาร การตรวจสอบสลิปโอนเงิน เมื่อลูกค้ามีการสั่งอาหารออนไลน์มา หรือลูกค้าสแกนจ่ายที่สามารถตรวจสอบอย่างมั่นใจได้อีกระดับหนึ่งด้วย

10 ธุรกิจน่าลงทุน ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ปี 2024

อยากลงทุนกับธุรกิจสักอย่างแต่ไม่รู้ว่าจะลงอะไรดี วันนี้เลยเอา 10 ธุรกิจน่าลงทุน 2024 มาให้ดูกัน ธุรกิจไหนที่กำลังได้รับความนิยม ธุรกิจแบบไหนที่สามารถไปต่อได้ในระยะยาว ธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนน้อยกำไรน่าพอใจ ลงทุนได้ง่ายเติบโตได้เร็ว ถ้าอยากรู้แล้วไปอ่านกันเลย!

รวมธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนน้อย ปี 2024 ลงทุนน้อย กำไรปัง

หลายคนที่คิดว่าจะทำธุรกิจอะไรดีที่เงินจะไม่จมหายไป ต้องส่องเทรนด์กันสักหน่อยว่าท้องตลาดกำลังต้องการสินค้าและบริการแบบไหน ในปี 2024 นี้มีธุรกิจที่น่าลงทุนบ้าง มาดูกัน

1. ธุรกิจร้านค้าออนไลน์ E-Commerce

ทำธุรกิจอะไรดี? คิดไม่ออกต้องขายของออนไลน์ ต้องบอกไว้ก่อนเลยว่าเป็นธุรกิจที่มีความนิยมสูงมาก ยิ่งตามแพลตฟอร์มออนไลน์ สื่อโซเชียลมีพ่อค้าแม่ค้าเปิดตัวกันเยอะมาก สินค้าที่ขายไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหารเสริม อุปกรณ์เสริมความงามหรือสินค้าอื่น ๆ ก็ครบ ลงทุนไม่เยอะ แค่มีบัญชีโซเชียล กล้องโทรศัพท์ ไมค์และระบบการขายที่เข้าใจง่ายเท่านั้น เริ่มได้ง่าย ขาย(สินค้าเหมาะ ๆ ) ได้ปังแน่นอน

2. ธุรกิจด้านความงาม

ธุรกิจด้านความงาม

ธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนน้อยธุรกิจต่อมาคือเกี่ยวกับความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับครีมบำรุง อาหารเสริม ศัลยกรรมเสริมความงาม สปาผ่อนคลาย ที่ต่อให้มีร้านออกมาเปิดมาเท่าไหร่แต่ก็ยังมีลูกค้าที่มีกำลังซื้อมากมายพร้อมจ่ายเพื่อความสวยความงามของตัวเอง เป็นอีกธุรกิจที่กำลังอยู่ในกระแสปี 2024 นี้

3. ธุรกิจเกี่ยวกับการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายอาจจะดูไม่ใช่เทรนด์ใหม่แต่ก็ยังติดอันดับธุรกิจลงทุนน้อยกำไรปัง ไม่ใช่แค่การเปิดฟิตเนสที่ต้องลงทุนค่อนข้างมาก แต่ยังมีธุรกิจเกี่ยวกับการออกกำลังกายในรูปแบบง่าย ๆ แต่ได้ผลอย่างโยคะ พิลาทิส เวทเทรนนิงที่สามารถเอามาทำเป็นธุรกิจต่อยอดได้

4. ธุรกิจร้านอาหารออนไลน์

ทุกวันนี้ความสะดวกสบายในการสั่งอาหารมีมากมายเพราะมีแอปพลิเคชันที่รองรับทำให้ร้านค้าต่าง ๆ ไม่ต้องมีหน้าร้านก็สามารถจำหน่ายได้ อาหารเป็นสิ่งที่คนต้องกินทุกวัน ดังนั้นการขายอาหารออนไลน์ก็เป็นธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนน้อย เข้าคอนเซป ลงทุนน้อยกำไรปัง เลยทีเดียว

5. ธุรกิจขายสินค้ามือสอง

ทำธุรกิจอะไรดี? ถ้าคิดไม่ออกจริง ๆ ลองเปิดตู้เสื้อผ้า แล้วเอาเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่มาไลฟ์ขายยังได้! นอกจากเสื้อผ้าแล้ว กระเป๋า เครื่องประดับก็สามารถเอามาปล่อยต่อได้เช่นเดียวกัน ไม่เพียงของตัวเองเท่านั้นแต่ยังมีสินค้ามือสองจากต่างประเทศให้มารับไปขายกันมากมาย โดยที่ธุรกิจเหล่านี้จะลงทุนไปซื้อของมือสองมา คัดเอาที่สภาพดีแล้วนำมาขายต่อนั้นเอง

6. ธุรกิจความเชื่อสายมูเตลู

คนไทยติดดูดวง ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริง รับดูดวงออนไลน์เป็นอีกธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนน้อย บรรดาหมอดูที่มีฝีมือต่างก็มาเปิดไลฟ์เพื่อดูดวงออนไลน์กันมากมาย แต่การทำธุรกิจนี้ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญในศาสตร์นี้สักหน่อย ดูแม่นก็รุ่ง ไม่แม่นก็ร่วงได้เหมือนกันนะ

7. ธุรกิจด้านการสอนแบบออนไลน์

ธุรกิจด้านการสอนแบบออนไลน์

การสอนออนไลน์มีบทบาทสำคัญมากตั้งแต่ช่วงโควิด การเรียนการสอนเปลี่ยนจากการเรียนในห้องเรียนเป็นการออนไลน์ที่โปรแกรมต่าง ๆ แทน ครูที่สอนวิชาต่าง ๆ ก็สามารถลงทะเบียนสอนได้ฟรีที่หลายแพลตฟอร์ม ทำให้ธุรกิจนี้ติดอันดับธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนน้อยอีกธุรกิจหนึ่ง

8. ธุรกิจคาเฟ่ ร้านกาแฟ

เมื่อก่อน การเปิดร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ต้องใช้ต้นทุนค่อนข้างสูง เพราะเครื่องทำกาแฟเครื่องหนึ่งก็ราคาไม่เบาแล้ว แต่ปัจจุบันธุรกิจนี้ไม่ได้ลงทุนมากมายอย่างที่คิด รวมทั้งสไตล์ของคาเฟ่หรือร้านกาแฟในปัจจุบันเน้นมินิมอล ตกแต่งน้อย ๆ เก๋ ๆ เน้นมุมถ่ายรูปสวย ๆ ก็เลยมาติดอันดับธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนน้อยอีกอย่างหนึ่ง

9. ธุรกิจการผลิตบรรจุภัณฑ์สินค้า

ตอนนี้การขายสินค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่ถุง กล่องโฟมสี่เหลี่ยมอีกต่อไปแล้ว แต่มีบรรจุภัณฑ์มากมายที่แข่งขันออกมาเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับอาการเครื่องดื่ม หรือสินค้าต่าง ๆ ดังนั้นธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนน้อยอย่างธุรกิจผลิตบรรจุภัณฑ์สินค้าจึงกำลังเป็นที่ต้องการของตลาด ยิ่งเป็นรูปร่างที่ไม่มีใครเหมือนไม่เหมือนใครแล้วยิ่งมีแนวโน้มที่จะไปได้ไกล การลงทุนก็ไม่ได้มากมายอย่างที่คิดขึ้นอยู่กับวัสดุในการทำ

10. ธุรกิจด้านของตกแต่งบ้าน

ช่วงโควิดและหลังการระบาด คนมักจะอยู่บ้านกันมากขึ้น ทำให้เริ่มมีไอเดียในการตกแต่งบ้านให้มีความสวยงาม ดังนั้นสินค้าตกแต่งบ้านจึงเริ่มเฟื่องฟูอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นใหญ่ชิ้นเล็ก รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์เก๋ ๆ ก็เริ่มขายได้มากยิ่งขึ้นด้วย

สรุปบทความ

ได้คำตอบหรือยัง ทำธุรกิจอะไรดี 2024 ทั้ง 10 ธุรกิจมีเข้าตาบ้างไหม ถ้าสนใจแล้วก็หาข้อมูลเพิ่มแล้วเริ่มเลย! ไม่ลองไม่รู้นะ แต่สำหรับใครที่ทำการค้าออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมออนไลน์ชำระเงิน สินค้าด้วยการโอนต้องรัดกุมสักหน่อย ได้สลิปมาแล้วมั่นใจว่าได้เงินชัวร์หรือเปล่า ลองใช้บริการตรวจสลิปโอนเงินดู เพื่อความมั่นใจว่าขายของไปได้เงินเข้าบัญชีแน่นอน จะได้ไม่ต้องเสียใจเพราะขายไปไม่ได้ตังค์นะ

เคล็ดลับวางแผนกลยุทธ์การตลาด ดันยอดขายปัง แบบยั่งยืน

การวางแผนนั้นสำคัญไฉน ทุก ๆ ธุรกิจต้องรู้ กลยุทธ์ทางการตลาดหรือ Marketing Strategy ที่ต้องวางแผน ก่อนเปิดตัวสินค้าและบริการ บทความนี้จะเจาะให้คุณเห็นจุดสำคัญของการวางแผนกลยุทธ์การตลาด รู้จักการวางแผนกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับสินค้าและบริการ ก่อนเลือกใช้ในถูกในตรงกับกิจการของคุณ

กลยุทธ์การตลาด (Marketing strategy) คืออะไร

กลยุทธ์การตลาด (Marketing strategy) คืออะไร

กลยุทธ์การตลาด หรือ Marketing Strategy นั้นคือการเรียงลำดับวิธีการในการทำธุรกิจ ลำดับขั้นตอน วิเคราะห์ความเป็นไปได้ เลือกวิธีการในการขายได้อย่างเหมาะสม เป็นชั้นเชิงในการทำธุรกิจในระยะยาว เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ซึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดมีอยู่หลายวิธีการด้วยกัน อยู่ที่แบบไหนที่จะเอื้อต่อสินค้าและบริการมากที่สุด เมื่อเลือกได้แล้ว ลงมือแล้ว ก็ต้องเก็บข้อมูลในการทำกลยุทธ์นั้น ๆ มาเพื่อต่อยอดในการทำแผนธุรกิจครั้งต่อไปด้วย

สิ่งที่ต้องทำก่อนวางแผนกลยุทธ์การตลาด

สิ่งที่ต้องทำก่อนสร้างกลยุทธ์การตลาด เรียกว่า STP Marketing หรือกรอบการคิดในการทำการตลาด ประกอบได้ด้วยสามส่วนด้วยกันคือ

  1. S – Segmentation คือการแบ่งส่วนการตลาด 
  2. T- Targeting คือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายทำการตลาด 
  3. P – Positioning คือการกำหนดตำแหน่งของแบรนด์หรือสินค้า/บริการ

กลยุทธ์การตลาด ที่น่าสนใจ มีอะไรบ้าง

กลยุทธ์การตลาด ที่น่าสนใจ มีอะไรบ้าง

สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่น่าสนใจอัปเดตจากการทำธุรกิจในปัจจุบันมีอยู่ 5 รูปแบบ คือ

1.  กลยุทธ์ 8P Marketing

  1. กลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ (Product Strategy) กำหนดกลยุทธ์การตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการให้โดดเด่น น่าสนใจ เป็นที่จดจำ
  2. กลยุทธ์ราคา (Price Strategy) กำหนดราคาให้เหมาะสมกับต้นทุนและคุณค่าของผลิตภัณฑ์ 
  3. กลยุทธ์ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place Strategy) กลยุทธ์การตลาดเลือกช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อให้สินค้าหรือบริการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากที่สุด 
  4. กลยุทธ์ส่งเสริมการขาย (Promotion Strategy) กลยุทธ์การตลาดในการสร้างความน่าสนใจและสร้างความต้องการให้ลูกค้าเพื่อเพิ่มยอดขาย
  5. กลยุทธ์บรรจุภัณฑ์ (Packaging Strategy)กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้บรรจุภัณฑ์มีความสวยงามและออกแบบที่โดดเด่น เพื่อเพิ่มมูลค่า
  6. กลยุทธ์บุคลากร/พนักงานขาย (Personal Strategy)  กำหนดกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้บุคลากรหรือเป็นส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายที่ดี 
  7. กลยุทธ์ข่าวสาร (Public Relation Strategy) กำหนดกลยุทธ์การตลาดในการสื่อสารข่าวสารที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ 
  8. กลยุทธ์พลัง (Power Strategy) สร้างอำนาจในการต่อรองเพื่อให้ได้รับผลประโยชน์ที่มากที่สุด

2. กลยุทธ์ Search Engine Marketing และ Search Engine Optimize

หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นเคยสำหรับการทำ SEO หรือ SEM ซึ่งทั้งสองตัวนี้ล้วนเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ Google เป็นพื้นที่ เพราะไม่ว่าใครอยากจะได้สินค้าหรือบริการประเภทไหนก็ต้องค้นหาข้อมูลก่อนทั้งนั้น ดังนั้นการมีพื้นที่บนหน้าการค้นหาย่อมเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าและบริการนั้นๆ แน่นอน โดยที่การทำ SEO ต้องอาศัยการเขียนเป็นหลัก พร้อมใช้เทคนิคการสอดแทรก Keywords เข้าไปไม่ว่าจะเป็นหน้าบทความหรือหน้าบริการต่างๆ ส่วน SEM เป็นการซื้อหน้าโฆษณาบน Google โดยการประมูล Keywords ที่มีการค้นหามากที่สุดหรือตำแหน่งในการโชว์ลิงก์เว็บไซต์ของคุณบนหน้า Google นั่นเอง

3. กลยุทธ์ Influencer Marketing

สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่ใช้ผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ หรือ Influencer นั้นกำลังเป็นกลยุทธ์การตลาดที่หลายสินค้าและบริการให้ความสนใจ โดยที่จะคัดเลือก Influencer หรือเซเลปในโลกออนไลน์ให้มาช่วยในการโปรโมต ไม่ว่าจะเป็นการรีวิว การแนะนำ หรือการทำคอนเทนต์ในรูปแบบต่าง ๆ ยิ่งการใช้อินฟลูเอนเซอร์ในประเภทธุรกิจนั้น ๆ แล้วจะช่วยให้ได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มมากขึ้น เช่น อินฟลูเอนเซอร์ด้านการออกกำลังกาย นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ เป็นต้น

4. กลยุทธ์ Social Media Marketing

กลยุทธ์การตลาดที่ใช้ Social Media Marketing คือการอาศัยสื่อต่าง ๆ ในการกระจายการเป็นที่รู้จักและเพิ่มโอกาสทางการขาย ยิ่งมีหลายช่องทางยิ่งทำให้ตลาดกว้างมากขึ้น สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่ง วิดีโอ ให้ลูกค้าเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย 24 ชั่วโมง

5. กลยุทธ์ Affiliate Marketing

กลยุทธ์การตลาดแบบ Affiliate Marketing เริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยที่กลยุทธ์นี้จะอาศัยการบอกต่อ ให้คนที่เคยใช้สินค้าและบริการนั้น ๆ มาทำหน้าที่เป็นนายหน้าแนะนำให้คนมาใช้ต่อ แล้วแบ่งค่าคอมมิชชันให้ สามารถทำได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นคลิปสั้นๆ รีวิว ที่เห็นกันมากคือตามแพลตฟอร์ม TikTok, Shopee , Lazada

สรุปบทความ

เป็นอย่างไรกันบ้างกับกลยุทธ์การตลาดที่เอามาฝากกันในวันนี้ หวังว่าจะได้ประโยชน์เพื่อเอาไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณนะ กลยุทธ์แต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียต่างกันไป ลองตบ ๆ ตี ๆ ให้เป็นแผนการตลาดที่สมบูรณ์ดู รับรองปังแน่! ใครที่ทำธุรกิจออนไลน์ยังต้องสนใจการตรวจสอบสลิปโอนเงินด้วยนะ ตรวจยังไงจะรู้ว่าโอนมาแน่นอนไม่ได้ส่งสลิปปลอมมาให้ รู้ผลทันใจตรวจสอบได้เพียง 3 นาทีเท่านั้น อยากรู้เป็นยังไงคลิกอ่านรายละเอียดก่อนได้เลย!

e-commerce คืออะไร โอกาสใหม่สำหรับธุรกิจที่คุณต้องรู้

คนอยากทำธุรกิจออนไลน์ตอนนี้ต้องวิ่งไล่ตามให้ทัน E-Commerce เป็นกลยุทธ์หรือแพลตฟอร์ม เจาะลึกเรื่องราวเกี่ยวกับธุรกิจ E-Commerce ให้คุณได้เก็บไปพัฒนากับธุรกิจของคุณไม่ว่าจะในตอนนี้หรืออนาคต E-Commerce คืออะไร ธุรกิจแบบไหนที่เหมาะกับการทำการตลาดรูปแบบ E-Commerce บ้าง

E-Commerce คืออะไร

E-Commerce คืออะไร

E-Commerce คือ การซื้อขายสินค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือ Marketplace ก็ตาม ในปัจจุบันได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งหลังสถานการณ์โรคระบาด การซื้อขายแบบ E-Commerce ยิ่งมีการเติบโตมากขึ้น ธุรกิจไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่เริ่มนำสินค้า และบริการของตัวเองขึ้นโชว์บนโลกออนไลน์มากขึ้น ธุรกิจ E-Commerce นอกจากจะให้ความสะดวกสบายในการซื้อแล้ว ยังมีสินค้าให้เลือกหลากหลาย มีแทบจะทุกสิ่ง ทุกบริการ ไม่เพียงเท่านั้นการซื้อขายออนไลน์ยังสะดวกสบายสำหรับการชำระเงิน และการจัดส่งสินค้าอีกด้วย

ธุรกิจ E-Commerce มีกี่ประเภท

สำหรับธุรกิจ E-Commerce มีอยู่ด้วยกัน 6 ประเภทธุรกิจ คือ

1. ธุรกิจ B2C ( Business to Consumer ) หรือธุรกิจซื้อขายระหว่างผู้ประกอบการและผู้บริโภคโดยตรง เช่นการขายเสื้อผ้า อาหาร

2. ธุรกิจ B2B (Business to Business) เป็นธุรกิจซื้อขายกันระหว่างผู้ประกอบการและผู้ประกอบการด้วยกัน ขายสินค้าจากโรงงานที่ผลิตไปยังร้านค้า เพื่อจำหน่ายให้ลูกค้ารายย่อยต่อไป

3. ธุรกิจ B2G (Business to Government) ธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการและภาครัฐ ซึ่งจะเป็นในด้านการจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่จำเป็นสำหรับหน่วยงานผ่านทางอินเทอร์เน็ต

4. ธุรกิจ C2C (Consumer to Consumer) คือธุรกิจซื้อขายกันระหว่างผู้บริโภคและผู้บริโภคด้วยกัน เช่นการซื้อ – ขาย สินค้ามือ 2

5. ธุรกิจ G2C (Government to Consumer)  คือการทำธุรกิจซื้อขายกันระหว่างภาครัฐและประชาชน เช่น การเสียภาษีออนไลน์ จดทะเบียนการค้า

6. ธุรกิจ G2G (Government to Government) คือการทำธุรกิจซื้อขายกันระหว่างภาครัฐและภาครัฐ การทำข้อตกลงหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

การทำ E-commerce มีช่องทางไหนบ้าง

ธุรกิจ E-Commerce สามารถเปิดช่องทางให้การจำหน่ายสินค้าได้หลายช่องทาง แต่ละช่องทางจะมีอินเทอร์เน็ตเป็นสื่อกลางการซื้อขาย ช่องทางที่พบเห็นในปัจจุบันคือ 

  • เว็บไซต์ คือการจัดจำหน่ายผ่านหน้าเว็บไซต์เจ้าของสินค้าและบริการนั้น ๆ เป็นการขายจากเจ้าของแบรนด์โดยตรง แต่ต้องใช้ต้นทุนในการสร้างเว็บไซต์ในการซื้อขายแบบธุรกิจ E-Commerce ซึ่งมีต้นทุนค่อนข้างสูง เหมาะกับแบรนด์ที่ติดตลาด และมีคนรู้จักในวงกว้างแล้ว
  • Marketplace คือเว็บไซต์ที่จะทำหน้าที่เป็นตลาดออนไลน์ให้เจ้าของกิจการได้ทำสินค้าและบริการของตนฝากขายบนเว็บนี้ และมีเงื่อนไข ข้อตกลงค่าบริการตามอัตราที่ทางเว็บ Marketplace กำหนด ยกตัวอย่างเช่น Shopee, Lazada เป็นต้น
  • Social Commerce เป็น E-Commerce ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตอนนี้เลยก็ว่าได้ การขายรูปแบบนี้จะขายผ่าน Facebook IG หรือแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้อย่าง TikTok รวมทั้ง Line ที่ตอนนี้มีการพัฒนาให้ลูกค้าสามารถชำระเงินได้เลย ผู้ประกอบการไม่ต้องเสียเงินในการสร้างมากมายนักแต่อาจจะต้องมีการทำโฆษณากับแพลตฟอร์มเหล่านั้น ขยายการเป็นที่รู้จักออกไปเพื่อเพิ่มโอกาสในการขาย

ประโยชน์ของ e-commerce กับการทำธุรกิจ

ประโยชน์ของ e-commerce กับการทำธุรกิจ

ธุรกิจ E-Commerce มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจในปัจจุบัน ไม่เพียงแค่ผู้ซื้อเท่านั้นแต่ผู้ขายก็สามารถนำเสนอสินค้าได้หลายช่องทางมากขึ้น และยังมีประโยชน์อีกหลายข้อ คือ

1.  ช่วยขยายช่องทางการขาย

ธุรกิจ E-Commerce จะช่วยในการขยายช่องทางการขายของสินค้าและบริการมากขึ้น เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้าง ไม่ต้องจำกัดอยู่เพียงแค่กลุ่มเดียว มีโอก าสขยายการเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกง่ายกว่าการทำธุรกิจแบบ Offline

2. ช่วยลดต้นทุน

E-Commerce จะช่วยลดต้นทุนในการเปิดหน้าร้าน ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านเพื่อให้ลูกค้าเข้าไปแต่เปลี่ยนมาเป็นหน้าร้านออนไลน์ที่มีรายละเอียดสินค้าครบถ้วน ทั้งยังสามารถให้ลูกค้าเห็นรูปสินค้าจริงได้อย่างละเอียดด้วย

3. เข้าถึงและจัดเก็บข้อมูลลูกค้าได้ง่ายขึ้น

ในการทำธุรกิจ E-Commerce นั้นเป็นการทำธุรกรรมออนไลน์ ผ่านอินเทอร์เน็ตโดยตรง เพราะฉะนั้นการรวบรวมข้อมูลจึงง่าย เพราะจะมี Data เก็บเป็นข้อมูลอยู่แล้ว และยังสามารถวิเคราะห์ธุรกิจได้อย่างละเอียดเพื่อใช้ในการปรับปรุงต่อยอดอีกด้วย

4. เพิ่มโอกาสในการขาย

แน่นอนว่าโอกาสในการขายต้องเพิ่มมากขึ้นหากมีคนรู้จักธุรกิจมากขึ้น ธุรกิจ E-Commerce จะช่วยเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากการนำสินค้าขึ้นโชว์บนโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว ยังสามารถยิงโฆษณาให้ผู้คนเห็นเป็นวงกว้างมากขึ้นด้วย

5. ลูกค้าเข้าถึงได้ตลอดเวลา

ธุรกิจ E-Commerce คือตลาดออนไลน์ที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าร้าน ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ยิ่งในปัจจุบันมีวิธีการตอบแชตลูกค้าอัตโนมัติเพื่อให้ข้อมูลเบื้องต้น ทำให้ลูกค้าเข้ามาเลือกชม และตัดสินใจซื้อได้ตลอดเวลา

สรุปบทความ

และนี้คือธุรกิจ E-Commerce ที่เอามาฝากกัน คนทำธุรกิจจำเป็นต้องวิ่งตามให้ได้ E-Commerce ให้ความสะดวกสบายทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้านที่เข้าถึงได้ตลอด 24 ชั่วโมง การประหยัดต้นทุนในการเปิดโชว์รูม แต่ก็ไม่ใช่จะมีแค่ข้อดี ในการซื้อขายแบบ E-Commerce นั้น บางเว็บยังไม่มีระบบการตรวจสอบการชำระเงินจากลูกค้าที่ปลอดภัยมากพอ ทำให้เกิดการฉ้อโกงขึ้น ปัญหาตรงนี้สามารถแก้ไขด้วย บริการตรวจสลิปโอนเงิน ที่พร้อมให้คุณได้ใช้ตรวจสอบสลิปของลูกค้าว่าเป็นของจริง 100% ไม่สวมรอยหรือปลอมแปลง อุ่นใจสำหรับผู้ขาย ไม่ต้องระแวงว่าสลิปที่โอนมานั้นใช้ของจริงหรือเปล่า

โอนเงิน ระบบ API มีความสำคัญอย่างไรต่อการทำธุรกรรม

การนำระบบ API มาใช้ในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การโอนเงิน ตรวจสลิปปลอม หรือการนำไปพัฒนาในด้านของธุรกิจต่างๆ ในบทความนี้จะเล่าถึงหน้าที่ของ API รวมถึงความจำเป็นในการใช้การโอนเงิน ระบบ API เพื่อให้สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัลได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น

ในการให้บริการแบบเรียลไทม์ การบริการที่ราบรื่น และการเข้าถึงทุกอย่างในที่เดียว ทำให้บริการแบบนี้เป็นที่ชื่นชอบของผู้ใช้ แต่เพื่อให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพแก่ลูกค้า ก็จำเป็นต้องส่งมอบความคาดหวังของลูกค้าอย่างถูกวิธีและส่งต่อให้ผู้ใช้มีความง่ายต่อการใช้งานอีกด้วย

ระบบ API โอนเงิน ระบบ api คืออะไร 

API ย่อมาจากคำว่า Application Programming Interface คือ ส่วนเชื่อมต่อ (interface) ที่กำหนดวิธีการสื่อสารระหว่างโปรแกรมของระบบไอทีหนึ่งกับระบบอื่น ๆ ซึ่งทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลรวมถึงการเรียกใช้งานโปรแกรมข้ามเครือข่ายระหว่างระบบไอทีทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การใช้ API ในบริการทางการเงินไม่ใช่เรื่องใหม่ ในภาคการเงินไทย ธนาคารหลายแห่งมีการพัฒนา API เพื่อเชื่อมต่อการทำธุรกรรมระหว่างพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น การโอนเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ การชำระเงินด้วย QR code ซึ่งการพัฒนา API ที่ต่างคนต่างกำหนดโดยไม่มีมาตรฐานจะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและปัญหาในการทำงานร่วมกันตามมา

สำหรับคนที่ยังไม่เห็นภาพมากนัก เราลองมาเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น สมมติผู้ใช้บริการเปรียบเสมือนลูกค้าที่มาทานอาหารในโรงแรม เมื่อลูกค้าอยากทานเมนู A บริกรจะต้องรับคำสั่งและไปบอกให้ครัวจัดเตรียมอาหารและมาส่งให้กับลูกค้า ซึ่งบริกรก็คือ API ส่วนข้อมูลก็คืออาหารในห้องครัวนั่นเอง

ความสำคัญของ API

การรับ – ส่งข้อมูลจะสามารถดำเนินการผ่านระบบโดยอัตโนมัติได้ หากระบบของธนาคารมีการเชื่อม API ระหว่างกัน ทำให้เกิดช่องทางที่ผู้ให้บริการรายอื่นสามารถเข้าถึงบริการข้อมูลนี้ผ่าน API ที่ธนาคารเตรียมไว้ ดังนั้น ธนาคาร A จะสามารถเรียกขอข้อมูลจากธนาคาร B ได้โดยตรงผ่าน API (ตามความยินยอมของลูกค้าที่ยืนยันตัวตนแล้ว) และธนาคาร B จะสามารถส่งข้อมูลในรูปแบบดิจิทัลไปยังธนาคาร A ผ่าน API ได้โดยตรงระหว่างระบบ (system – to – system data transfer) โดยไม่ต้องผ่านมือลูกค้า ซึ่งจะช่วยทำให้ขั้นตอนการดำเนินธุรกรรมทั้งหมดอยู่ในระบบอัตโนมัติอย่างสมบูรณ์ รวมถึงเพิ่มความคล่องตัวในการเข้าถึงบริการต่าง ๆ ให้กับลูกค้าได้เป็นอย่างมาก

การรับ – ส่งข้อมูลระหว่างผู้รับและผู้ส่งข้อมูลแต่ละคู่ สามารถมีข้อกำหนด (specification) ของการเชื่อมต่อ API และรูปแบบหน้าตาข้อมูลที่แตกต่างกันได้ ตามที่ผู้ให้บริการแต่ละรายจะกำหนดขึ้นเอง อย่างไรก็ดี ในการดำเนินธุรกิจ การเชื่อมต่อระหว่างผู้รับและผู้ส่งข้อมูลทีละคู่จะทำให้เกิดความซ้ำซ้อนในการพัฒนาระบบ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรฐาน API ร่วมกัน (API standardization) เพื่อให้ระบบสามารถเชื่อมต่อกันได้ (interoperability) ในวงกว้าง เพื่อช่วยลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน ประหยัดเวลา รวมทั้งลดต้นทุนในการพัฒนาและบำรุงรักษาระบบ

api process

ชนิดของ API

Private API: นิยมใช้กันภายในองค์กร คนนอกไม่สามารถใช้ได้

Partner API: ใช้ได้เฉพาะผู้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น

Public API: ทุกคนสามารถใช้ได้

ระบบ API โอนเงินธนาคาร มีของธนาคารไหนบ้าง

สำหรับ  ระบบ API เช็คสลิป โอนเงิน จากธนาคาร จะเป็นการเปิดให้ผู้ใช้งานที่ได้รับอนุญาต สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลบางส่วนของธนาคารได้ เช่น ข้อมูลส่วนตัวพื้นฐานของลูกค้า ชื่อ-สกุล วันเดือนปีเกิด เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ข้อมูลบน QR CODE เพื่อให้ผู้พัฒนาแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ภายนอก สามารถเข้าถึงและตรวจสอบข้อมูลการชำระเงินผ่านสลิปโอนเงินนั้นๆได้ เป็นบริการจากธนาคารที่จะช่วยตรวจสอบสลิปโอนเงินว่ามีการปลอมแปลงหรือทำซ้ำหรือไม่ได้ สำหรับ api ตรวจ สอบ การโอนเงิน  เช็คยอดเงินธนาคาร ที่ให้บริการฟรี นั้น ในปัจจุบันธนาคารที่ทำระบบตรวจสอบสลิปอัตโนมัติมีดังนี้ คือ ธนาคารกสิกรไทย (KBank API) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB API) ธนาคารกรุงศรีฯ (Krungsri API) รายละเอียดของแต่ละธนาคาร  มีดังนี้

1. ธนาคารกสิกรไทย (Kbank)

ระบบ โอนเงิน API
ระบบ โอนเงิน API ธนาคารกสิกรไทย
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: KBank – Slip Verification APIs

2. ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB)

API โอนเงิน
API โอนเงิน ตรวจสอบสลิปโอนเงิน ธนาคารไทยพาณิชย์
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: SCB Developers – Slip Verification APIs

3. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (Krungsri)

ระบบ API ตรวจสอบสลิปโอนเงิน 
ระบบ API ตรวจสอบสลิปโอนเงิน 
สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: Krungsri API Portal for Developers

ทำไม API ถูกนำมาใช้ในระบบการโอนเงิน

1.  เพิ่มความคล่องตัวให้กับการทำงานของแบรนด์

API ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับแอปฯ หรือเว็บไซต์ของแบรนด์ได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งแบรนด์ไม่ต้องทำเองทั้งหมด แต่ให้ผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ จัดการให้เรา เช่น เราขายสินค้าบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ต้องมีการบวกภาษี เราอาจจะใช้ API ที่เป็นระบบคำนวณภาษีอัตโนมัติเข้ามาช่วย ซึ่งไม่ต้องคอยอัปเดตเองตลอดเวลาเมื่ออัตราภาษีมีการเปลี่ยนแปลง

2. เข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

หนึ่งเหตุผลที่ทำให้ API สำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ คือ API ช่วยให้เราเข้าถึงข้อมูลได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้เวลานาน สมมติลูกค้าจะขอ Statement บนแอปฯ ของธนาคารแห่งหนึ่ง API ก็จะทำหน้าที่ส่งคำขอและรับข้อมูลกลับมาส่งให้ลูกค้าทางอีเมลได้ทันที

3. สร้างความโดดเด่นให้เหนือกว่าคู่แข่ง

ไม่แปลกใจที่การใช้ API จะช่วยให้แบรนด์ดูโดดเด่น เพราะสิ่งนี้ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ปลายทาง ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ชอบความสะดวกสบาย รวดเร็วทันใจ และแตกต่างจากผู้อื่น

หากลองสังเกตเราจะเห็นว่า ในไทยนิยมดู Netflix กันมากเพราะคอนเทนต์หลากหลาย แถมดูได้หลายอุปกรณ์ทั้ง Smart TV, Apple TV, Laptop, Tablet, Smartphone หรือแม้แต่ PS4-PS5 ซึ่งจริง ๆ แล้ว Netflix ไม่ได้พัฒนาซอฟแวร์เองเพื่อให้เล่นได้ทุกอุปกรณ์ แต่แค่เปิด API ให้นักพัฒนาซอฟแวร์เข้าถึงระบบของเขาได้นั่นเอง ทำให้ปัจจุบันมีอุปกรณ์มากกว่า 800 ชนิดที่สามารถเล่น Netflix ได้

4. ช่วยเพิ่มยอดขาย

ไม่ว่าจะทำธุรกิจประเภทไหน คุณสามารถเลือกใช้ API ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณได้ เมื่อผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีจากการใช้ API ยอดขายก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม

ตัวอย่างการนำ API มาใช้งานในปัจจุบัน

API นอกจากจะนิยมนำมาใช้ในระบบการโอนเงินแล้ว ยังมีการนำมาใช้งานในช่งทาง หรือบริการอื่นๆอีกด้วย เนื่องจากความสามารถในการรับส่งข้อมูลที่แม่นยำและรวดเร็ว เชื่อถือได้ จึงมีหลากหลายบริการที่นำ API ไปพัฒนา ซึ่งตัวอย่างการใช้งาน API ในปัจจุบันมีอะไรบ้างนั้น มาดูกัน

Social Media API

โดยปกติโซเชียลมีเดียทุกแพลตฟอร์มมีการใช้ API ทั้งสิ้น ยกตัวอย่าง

  • Facebook API เช่น การดึง Facebook Insight หรือ Automate Ad Management ที่สามารถสร้างเทมเพลตโฆษณาได้หลายอันพร้อมกันเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของโฆษณา
  • Instagram API เช่น Discovering @mentions ที่รวบรวมบัญชีที่กล่าวถึงแบรนด์เพื่อเก็บข้อมูลหรือตอบกลับคอมเมนต์
  • Youtube API เช่น การเปลี่ยนชื่อคลิปวิดีโอให้ตรงตามยอดวิวแบบเรียลไทม์ (เล่าเรื่องผี 1,000,000 วิว เมื่อเวลาผ่านไปมียอดถึง 2,000,000 วิว ชื่อคลิปก็จะเปลี่ยนให้อัตโนมัติ)

Google Ads API

Google Ads API เป็นตัวช่วยที่ให้ผู้ลงโฆษณาจัดการบัญชีและแคมเปญ Google Ads ขนาดใหญ่ที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรียกได้ว่ามีประโยชน์ต่อกลุ่มเอเจนซีโฆษณา บริษัทที่ทำ SEM หรือแบรนด์ใหญ่ ๆ ที่ต้องจัดการกับแอคเคานต์จำนวนมาก

โดยหลัก ๆ เราสามารถใช้ Google Ads API ดึงรีพอร์ตแบบกำหนดเองได้ (Custom Reporting), จัดการโฆษณาตามแต่ละพื้นที่ (Ad Management Based on Inventory) หรือวางกลยุทธ์การประมูล (Manage Smart Bidding Strategies) เป็นต้น

PayPal API

เมื่อเราซื้อสินค้าที่แอปฯ หนึ่งแล้วเลือกชำระเงินผ่าน PayPal แอปฯ จะส่งคำสั่งซื้อไปที่ PayPal API โดยระบุจำนวนเงินที่ต้องชำระพร้อมกับรายละเอียดที่สำคัญอื่น ๆ จากนั้นจะตรวจสอบสิทธิ์ผู้ใช้และยืนยันการซื้อ หากไม่มีปัญหาอะไร API จะส่งการยืนยันการชำระเงินกลับมาที่แอปฯ เพื่อบอกว่าการชำระเงินเสร็จสิ้นแล้ว

Login API

นี่น่าจะเป็น API หนึ่งที่เราคุ้นเคยกัน เคยไหมเวลาจะลงทะเบียนบนแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์มักจะมีปุ่ม “Login with Facebook” หรือ “Sign in with Google” ให้เราเลือกโดยที่ไม่ต้องกรอกอีเมลและรหัสผ่านใหม่ ซึ่งแอปฯ หรือเว็บไซต์จะเรียก API มาตรวจสอบว่าเราล็อกอิน Facebook หรือ Google ไว้แล้วหรือยัง ถ้า Login แล้ว เราก็สามารถลงชื่อเข้าใช้ผ่านปุ่ม “Login with Facebook” หรือ “Sign in with Google” ได้เลย

Financial Apps

ทุกธนาคารมีการใช้ API ภายในเพื่อจัดการการเงินของผู้ใช้บริการซึ่งมีการเชื่อม API ไปแต่ละแผนก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลบัญชีออมทรัพย์ ข้อมูลบัตรเครดิต หรืออื่น ๆ นอกจากนี้ บางธนาคารยังมีการเปิด API ของตัวเองให้แอปฯ ของนักพัฒนาภายนอกสามารถเชื่อมกับแอปฯ ธนาคารเพื่อชำระเงินได้อีกด้วย

อย่าง Katalyst ก็ได้เปิด API ของตัวเองเช่นกัน นั่นก็คือ บริการ QR Payment ที่ให้ Partner ส่งข้อมูลมายัง API แล้วแปลงข้อมูลเป็น QR Code ทันทีเพื่อให้ลูกค้าสแกนชำระเงินได้สะดวก

Weather Apps

หากเราเคยเช็กสภาพอากาศผ่าน Google หรือ Siri รู้ไว้เลยว่าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้รวบรวมสภาพอากาศด้วยตนเอง แต่เป็นการใช้ API ส่งคำขอเพื่อดึงข้อมูลสภาพอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยานั่นเอง

ระบบตรวจสลิปโอนเงินอัตโนมัติ

slip verifications

Slip Verification เป็นการให้บริการตรวจสอบสลิปอัตโนมัติที่ได้รับการพัฒนาผ่าน API ของธนาคาร ทำให้สามารถตรวจสอบสลิปจากทุกธนาคารในประเทศไทยได้แบบเรียลไทม์ ผ่านแอปพลิเคชันไลน์ แถมยังถูกพัฒนาให้มาพร้อมกับระบบจัดเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลของสลิปโอนเงินที่เข้ามายังร้านค้าอีกด้วย ผ่านบริการ

LINE Chatbot หรือ Line OA เพียงแค่ตั้งกลุ่มไลน์ของร้านหรือเพิ่มบอทเข้าไปปใน Line ของร้านค้า ก็สามารถส่งภาพสลิปเข้าไปตรวจสอบ โดยระบบจะยืนยันผลการเช็กสลิปทันที ลูกค้าโอนเงินปุ๊บ ร้านค้าก็สามารถรับการแจ้งเตือนการตรวจสอบสลิปได้เลย ผ่านการรีเช็กจากระบบของธนาคารแห่งประเทศไทย

บริการที่ตอบโจทย์ทุกร้านค้า พร้อมเรียกดูข้อมูลย้อนหลังได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นรายวัน รายปีสามารถเลือกตามช่วงเวลาที่ต้องการได้เลย แม้มีหลายสาขาหลายบัญชี ก็สามารถจัดการได้อย่างเป็นระบบ

หากสนในระบบตรวจสลิปโอนเงินอัตโนมัติ  สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมของผลิตภัณฑ์ ได้ที่เว็บไซต์ของ Thunder Solution ผู้ให้บริการบอทเช็คสลิปโอนเงินอัตโนมัติ ตรวจสลิปโอนเงินผ่านไลน์

สรุป

จากตัวอย่างการใช้ API กันหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการ นำ API มาใช้ในระบบ โอนเงินหรือตรวจสอบการโอนเงิน  การนำมาใช้ดึง Insight จากโซเชียลมีเดียหรือแพลตฟอร์มต่าง ๆ หรือการลงชื่อเข้าใช้โดยล็อกอินผ่าน Facebook, Google, เบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น

จะเห็นว่า ทั้งหมดที่กล่าวมานั้นล้วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมประเภทต่างๆ หรือแม้แต่การทำการตลาดออนไลน์ นอกจาก API จะเพิ่มความคล่องตัวให้กับการทำงานของแบรนด์และเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายแล้ว ยังสามารถสร้างความโดดเด่นให้กับแบรนด์ได้อีกด้วย แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือยอดขายนั่นเอง แต่ทุกยอดขายมีความเกี่ยวข้องกับธุรกกรมทางการเงินแน่นอน ซึ่งจากตัวอย่างการนำ API ไปใช้งานข้างต้นแล้ว จะเห็นว่านอจากช่วยส่งเสริมการขาย ยังมีการนำมาใช้ในเรื่องหารตรวจสอบอีกด้วย อย่างที่บริษัท ธันเดอร์ โซลูชัน ได้นำ API มาพัฒนาให้เป็นระบบตรวจสอบสลิปโอนเงินอัตโนมัติ ตรวจสลิปโอนเงินผ่านไลน์ นั่นเอง

SCB API คืออะไร มีความสำคัญต่อระบบโอนเงิน อย่างไรบ้าง

ปัจจุบันได้มีผู้ให้บริการ API หลายธนาคารในประเทศไทย แและธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ทำการเปิดให้บริการ API ให้นักพัฒนา (Developer) หรือ แอปฯ เข้าถึงได้ ซึ่งตัว SCB API ที่เปิดให้เข้าถึงได้นั้น คืออะไร มีอะไร และสามารถนำไปใช้อย่างไรได้บ้าง 

API คืออะไร

API หรือ Application Programming Interface คือคำสั่งที่สามารถทำให้เกิดการเชื่อมต่อจากเว็บไซต์หนึ่งไปยังอีกเว็บไซต์หนึ่ง เป็นตัวกลางในการเชื่อมต่อระหว่างเว็บไซต์ที่ผู้ใช้งานใช้อยู่ไปยังเว็บไซต์อื่น กล่าวได้ว่าประโยชน์ของ API ก็คือการรับส่งข้อมูลข้าม Server นั้นเอง

ตัวอย่างของการใช้งาน API เช่น การลงทะเบียนเข้าสู่ระบบของเว็บไซต์ต่าง ๆ โดยใช้ Facebook Account และข้อมูลจาก Facebook Account ก็จะแชร์ข้อมูลของเรากับเว็บไซต์นั้น ๆ ด้วย API หรือ API ของ Google Map ที่สามารถนำแผนที่ของ Google มาลงใน Website โดยใช้ JavaScript เป็นต้น

ปัจจุบัน SCB ได้เปิด Open API เป็นธนาคารแรกในประเทศไทย เพื่อช่วยให้ Developer, ผู้ประกอบการธุรกิจ และองค์กร สามารถเชื่อมต่อแอพหรือเว็บไซต์กับบริการและโปรดักส์ของ SCB ได้ เพราะเห็นว่าเป็นความท้าทายในการเปิดโอกาสสร้างพันธมิตรในธุรกิจใหม่ ๆ และสามารถพัฒนาต่อยอดโปรดักส์ทางการเงินต่อไปได้ในอนาคต

แต่ความปลอดภัยก็ถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด บางธนาคารยังไม่เปิดใช้เพราะกลัวว่าจะเกิดช่องโหว่ แต่ก็มีวิธีการแก้ปัญหาโดยบุคคลที่ 3 จะต้องขอความยินยอมการเปิดเผยข้อมูลจากลูกค้าก่อน และลูกค้าก็จะต้องกดยอมรับการแชร์ข้อมูล ถึงจะสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้ และทางธนาคารก็จะมีระบบคอยดูแลควบคุมอีกที

API SCB นำไปใช้งานอะไรได้บ้าง

·        การชำระเงินผ่าน SCB โดยการเชื่อมต่อระหว่างแอพหรือเว็บไซต์ไปยัง SCB Easy

·        แชร์ข้อมูลลูกค้า SCB เช่น Identity Sharing และสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับ SCB

·        การรักษาความปลอดภัย โดยอนุญาตการเรียก API ทั้งหมดที่ทำกับแพลตฟอร์ม เพื่อดูความถูกต้องที่ Developer ใช้ API ของ SCB

·        การสร้างรหัส QR Code เพื่อสแกน และจ่ายเงินทันที

·        การตรวจสอบสลิป โดยสแกน QR Code บนสลิป

ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ SCB API

ผลิตภัณฑ์ของ API ของ SCB
ระบบที่จะช่วยให้คุณสามารถผลักดันธุรกิจของคุณไปสู่อีกขั้นของการบริการ

1. Mae Manee Merchant

แอปพลิเคชันแม่มณี ผู้ช่วยร้านค้าตัวจริง ยอดขายปัง รับตังค์สะดวกกว่า รับเงินง่ายผ่านการสแกน QR Code รับชำระผ่านบัตรเครดิต ไม่ต้องมีเครื่องรูดบัตร ค่าธรรมเนียมเพียง 1%* ร้านค้าออนไลน์ไลฟ์สด ตอบแชท จัดการครบ จบในแอปเดียว

2. SCB API Payment Gateway Direct Debit

ป็นบริการหักบัญชีเงินฝากธนาคารหรือตัดเงินในบัตรเครดิตของผู้ชำระเงินที่ซื้อสินค้าหรือบริการผ่านเว็บไซต์ของร้านค้า (e-Commerce) เช่น การซื้อสินค้าออนไลน์ การจองตั๋วโดยสาร ฯลฯ โดยร้านค้าจะได้รับเงินทันทีภายใต้ระบบรักษาความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานสากล พร้อมทั้งมีการแจ้งผลกลับให้ร้านค้าทราบแบบ Real-time และสามารถดาวน์โหลดรายงานเพื่อใช้ปรับยอดทางบัญชีได้

จุดเด่นของบริการ

·        ร้านค้าได้รับเงินทันทีเมื่อทำรายการหักเงินจากบัญชีผู้ชำระเงิน

·        แจ้งผลการชำระเงินของลูกค้าไปยังร้านค้าทันทีโดยอัตโนมัติ

·        รองรับการเข้ารหัสข้อมูลและรับส่งข้อมูลธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต ด้วยความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล

·        ปลอดภัยด้วยการใช้รหัสผ่านแบบครั้งเดียว (OTP – One Time Password) โดยระบบของธนาคารจะส่งรหัสทาง SMS ไปยังหมายเลขโทรศัพท์มือถือของผู้ชำระเงินที่ลงทะเบียนไว้กับธนาคาร

3. SCB EASY App Payment

บริการธนาคารออนไลน์ สำหรับลูกค้าที่ใช้งานโทรศัพท์สมาร์ทโฟน ซึ่งเพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้า สามารถทำธุรกรรมได้ทุกที่ ทุกเวลา

4. Customer Information

API ที่แชร์ข้อมูลลูกค้าของไทยพาณิชน์ บนแอพของเราได้

5. Authentication

จะใช้เฟรมเวิร์ค OAuth2.0 ของ SCB เพื่อทำ authorize กับ authenticate บนแอพเรา (ล็อกอิน และให้ใช้สิทธิเข้าถึงทรัพยากรต่าง

6. QR Code Payment

API ที่สร้าง QR code เอาไว้ใช้ชำระเงินจ่ายสินค้าผ่าน QR code

8. Slip Verification

API ที่จะให้พ่อค้าทำการสแกน QR code บนสลิป แล้วพิสูจน์ความถูกต้องและให้ข้อมูลการจ่ายเงิน

สรุป

จากกระแสของสังคมไร้เงินสดในปัจจุบัน การนำ API มาใช้เพื่อพัฒนาข้อจำกัด และจุดอ่อนต่างๆของธุรกรรมทางการเงินนั้นถือว่ามีประโยชน์อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการใช้งานที่ช่วยให้มีความสะดวกสบาย ความปลอดภัยของข้อมูลของผู้ใช้งาน และการตรวจสอบความถูกต้องอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบการตรวจสอบการโอนเงิน ที่ผู้บริการ ตรวจสลิปโอนเงินผ่านไลน์ ที่หลายๆเจ้าได้นำ SCB API มาใช้งาน อย่าง Thunder Solution และ EasySlip เพื่อเป็นผู้ช่วยให้ผู้ขาย ขายของได้อย่างมั่นใจ ตรวจสอบสลิปโอนเงินได้ทันที